ภาษี (2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ภาษี (2)/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ต.ค. 13, 2014 2:31 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ครั้งที่แล้วผมเขียนถึงการเก็บภาษีว่าต้องมีเหตุผลและหลักการเพราะเป็นการยึดทรัพย์ประชาชนซึ่งในหลักการนั้นรัฐมีเหตุผลที่จะเก็บภาษีเพื่อผลิตสินค้าสาธารณะ ซึ่งเป็นสินค้าและบริการที่มีลักษณะพิเศษคือประชาชนจำนวนมากร่วมบริโภคได้โดยพร้อมๆ กันโดยมิได้ลดผลประโยชน์ของผู้บริโภคคนใดคนหนึ่ง (non-rivalry) และไม่สามารถแบ่งแยกการบริโภคดังกล่าวได้ (non-excludability) จึงอาศัยกลไกการตลาดผลิตไม่ได้ นอกจากนั้นก็ยังต้องพึ่งภาษีเพื่อให้รัฐบาลบริหารจัดการและระดมทรัพยากรเพื่อการสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการพัฒนาประเทศอีกด้วย

ในครั้งนี้ผมจะเขียนถึงหลักการในการเก็บภาษีซึ่งในความเห็นของผมควรเป็นการเก็บภาษีเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (pro-growth) เป็นหลักเพราะประเทศไทยยังเป็นประเทศกำลังพัฒนา โดยรายได้ต่อหัวของคนไทยยังไม่ถึง 190,000 บาทต่อปี และในระยะหลังนี้เศรษฐกิจของไทยก็ชะลอตัวลงอย่างมาก กล่าวคือเฉลี่ยเพียง 3.5% ต่อปีในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา

บางคนอาจแย้งว่าแนวคิดดังกล่าวไม่ให้ความสำคัญกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งผมยอมรับว่าความเหลื่อมล้ำด้านการถือครองทรัพย์สินนั้นน่าจะมีอยู่มากจริง แต่ยังไม่เห็นการเก็บข้อมูลย้อนหลังเพื่อให้เห็นว่าแนวโน้มดีขึ้นหรือแย่ลง ส่วนข้อมูลด้านรายได้ (ตารางประกอบ) ก็สรุปไม่ได้ว่าความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา กล่าวคือไม่เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนว่ากลุ่มคนจนสุด 20% ของประเทศจนมากขึ้นหรือกลุ่มคนรวยสุด 20% รวยมากขึ้นและไม่มีทิศทางขึ้นหรือลงของกลุ่มอื่นๆ เช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงบอกไม่ได้ว่าปัญหาปัจจุบันรุนแรงกว่าเมื่อ 20 ปีก่อนหรือไม่

แต่ผมเห็นว่าความจำเป็นที่จะเร่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยนั้นมีความชัดเจนมากกว่า เพราะดังที่เคยเขียนในครั้งก่อนๆ เศรษฐกิจไทยในระยะหลังขยายตัวเพียงครึ่งหนึ่งของเมื่อ 20 ปีก่อน

ผมมองว่าปัญหาในเชิงการเมืองปัจจุบันคือการลงความเห็นว่าการใช้จ่ายของภาครัฐมีปัญหาคือมีคอร์รัปชันมากและมีนโยบายประชานิยมมาก จึงทำให้สรุปว่าควรลดทอนการใช้จ่ายของรัฐในการใช้เป็นกลไกในการลดช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวย ซึ่งดูจะคล้ายคลึงกับแนวคิดของประธานาธิบดีโอบามาที่มักจะตำหนิคนรวยและอยากเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่ในกรณีของไทยนั้นนอกจากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นแล้วยังจะพยายามระมัดระวังในการใช้จ่ายของรัฐด้วยเพราะมีความต้องการเพิ่มความแข็งแกร่งของภาครัฐ กล่าวคือทำให้ภาคการคลังแข็งแรงขึ้นนั่นเอง เห็นได้จากการอนุมัติงบประมาณปี 2015 ซึ่งตั้งเป้าขาดดุลงบประมาณเท่ากับ 1.8% ของจีดีพี เมื่อเทียบกับเป้าของงบประมาณปีปัจจุบันที่ตั้งเป้าเอาไว้ที่ 2% ของจีดีพี แต่เนื่องจากรายได้ปีนี้พลาดเป้าไปเป็นแสนล้านบาท จึงอาจขาดดุลจริงมากถึง 3% ของจีดีพีก็ได้

ดังนั้น ในปีงบประมาณหน้า (ซึ่งจะเริ่ม 1 ต.ค.นี้) รายรับ (ภาษี) ที่รัฐบาลพึงจะเก็บได้ก็จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างมากหากจะทำให้เป็นไปตามเป้าการขาดดุลงบประมาณที่ตั้งเอาไว้ โดยอาจคำนวณคร่าวๆ ได้ว่าภาษีในปีหน้าที่จะต้องเก็บเพิ่มได้จริงเมื่อเทียบกับปีนี้คงจะประมาณ 10% ในขณะที่จีดีพีที่รวมเงินเฟ้อจะขยายตัวประมาณ 6.5-7.0% ทั้งนี้ แน่นอนว่ารัฐบาลคงจะเน้นการเก็บภาษีคนรวย เพราะดังที่กล่าวข้างต้น การเก็บภาษีกำลังจะเป็นกลไกหลักในการลดความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยกับคนจน แตกต่างจากที่ผ่านมาซึ่งมักจะเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ขยายตัวสูงเพื่อให้รัฐบาลเก็บภาษีได้เพิ่มมากขึ้นตามการโตของจีดีพี แล้วจึงนำเอารายได้ของรัฐบาลมาใช้จ่ายเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่านโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 3 ล้านล้านบาท การปฏิรูปพลังงานและโครงการอื่นๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายจะไม่เป็นประโยชน์ต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เพราะผมก็เห็นถึงความสำคัญและความจำเป็นของโครงการและนโยบายดังกล่าวแต่ก็เห็นแนวโน้มในการปรับกลไกของนโยบายการคลังมาเน้นการเก็บภาษีคนรวยเพื่อลดช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน

ตลอดจนความต้องการที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับสถานะทางการเงินของภาครัฐ ซึ่งในระยะสั้นแปลว่านโยบายการคลังอาจจะไม่ได้มีบทบาทมากในการกระตุ้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างที่คิดกันในขณะนี้ แต่หากมองในด้านดีก็จะเห็นแนวโน้มว่าการส่งสัญญาณที่จะดำเนินนโยบายการคลังอย่างมีวินัยจะทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวของไทยอยู่ที่ระดับต่ำ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับภาคเอกชนและภาครัฐในการออกพันธบัตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่ธนาคารกลางสหรัฐกำลังจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายและปิดฉากคิวอีซึ่งกำลังส่งผลให้ดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องครับ
[/size]



ตอบกลับโพส