การให้/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

การให้/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ต.ค. 13, 2014 2:35 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    หลังจากได้รับทราบถึงความร่ำรวยของอภิมหาเศรษฐีในโลกนี้แล้ว ดิฉันก็เฝ้าถามตัวเองว่า แล้วคนกลุ่มนี้เขามีการบริจาคหรือการให้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นบ้างไหม เพราะมีเงินมากมาย ใช้อย่างไรก็คงไม่หมด จึงไปค้นคว้าต่อ เผื่อว่าท่านผู้อ่านอาจจะใช้เป็นแนวทางในการปรับเปลี่ยนการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นเพื่อให้ได้ผลดีมากขึ้น ทั่วถึงขึ้น

    ดิฉันสังเกตจากตัวเอง ปกติจะทำบุญให้กับวัด หรือถวายพระภิกษุสงฆ์ เป็นสัดส่วนสูงและบ่อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการบริจาคอื่นๆ สาเหตุน่าจะมาจากการที่เรามีฤดูกาล และเทศกาลต่างๆที่เราจะทำบุญ จึงเสมือนการกำหนดและเตือนให้เราทำบุญ โดยเฉพาะในช่วงออกพรรษาเช่นในช่วงเวลานี้ เราจะได้รับซองกฐินกันคนละหลายๆซอง

    ต่างกับการบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยต่างๆ ซึ่งโดยทั่วไปเราจะทำกันเมื่อมีเหตุ และมีการระดมขอความช่วยเหลือ เช่นในช่วงที่เกิดมหาอุทกภัยในปี 2554 ปีนั้นประเทศไทยได้เป็นอันดับที่ 9 ของดัชนี “การให้”ในการจัดอันดับโลกเลยทีเดียว เนื่องจากเราบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกันมาก และผู้คนที่ทำงานในลักษณะ “จิตอาสา” ก็มีจำนวนมาก การให้ความช่วยเหลือกับคนแปลกหน้าก็เกิดขึ้นทั่วไป

    ดัชนี “การให้” ของโลก หรือ World Giving Index จัดทำโดยมูลนิธิหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ชื่อ Charities Aid Foundation of America หรือ CAF โดยจะจัดอันดับการให้ของประเทศต่างๆในโลก ด้วยการพิจารณาสามองค์ประกอบคือ สัดส่วนของคนที่มีการบริจาคเงินในช่วงเดือนก่อนการสัมภาษณ์ สัดส่วนของคนที่ให้เวลาในการทำงานสาธารณกุศลในลักษณะ “จิตอาสา” และสัดส่วนของผู้ให้ความช่วยเหลือกับคนแปลกหน้า

    นอกจากการจัดอันดับแล้ว ยังมีการศึกษาด้วยว่า คนกลุ่มไหน หรือ กลุ่มอายุไหนทำกิจกรรมใดมากกว่ากัน โดยพบว่าในปี 2556 ที่ผ่านมากลุ่มผู้ชายมีการให้ความช่วยเหลือกับคนแปลกหน้ามากขึ้น และเยาวชนมีการเสียสละเวลาไปทำกิจกรรมจิตอาสาเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนๆ

    ทั้งนี้ ในการบริจาคเงินนั้น ผู้หญิงมีการบริจาคมากกว่าผู้ชาย 2.7%  สัดส่วนของผู้ที่ตอบว่ามีการบริจาค เทียบกับจำนวนคนที่สอบถามทั้งหมด 

    ในปี 2554 ที่เกิดมหาอุทกภัยนั้น 85%ของคนที่ตอบแบบสอบถาม มีการบริจาคเงินค่ะ ดิฉันจำได้ว่า ภาคใต้ท่วมก่อน เราก็บริจาคให้ภาคใต้ แล้วภาคเหนือก็ท่วม เราก็บริจาคให้ภาคเหนือ  พอกรุงเทพฯถูกถ่วมบ้าง คนภาคใต้และภาคเหนือ ก็พากันบริจาคเงินให้คนกรุงเทพฯ สรุปแล้วเกือบทุกคนจึงมีการบริจาคในปีนั้น

    แต่พอหลังจากนั้น อันดับของเราก็ตกเป็น 12 ในปี 2555 และเป็นอันดับที่ 38 ในปี 2556 ที่ผ่านมา

    เขาทำการวิจัยพบว่า “การให้” ไม่ว่าจะเป็นเงิน เวลา หรือความช่วยเหลือ มีความสัมพันธ์กับความสุข มากกว่า เงินค่ะ คนที่อยู่ในประเทศที่มีความสุข มีแนวโน้มจะให้เยอะขึ้นเมื่อดัชนีความสุขเพิ่มขึ้น ในขณะที่คนที่มีรายได้เพิ่ม จะให้เพิ่มในสัดส่วนที่น้อยกว่า 

    การบริจาคเงิน สิ่งของ หรือเวลา เพื่อทำกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะในซีกโลกตะวันตก ดูจะเป็นระบบกว่าซีกโลกตะวันออก โดยเฉพาะการจัดการเรื่องการบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศล

    สำหรับอภิมหาเศรษฐีแล้ว การก่อตั้งมูลนิธิเองดูจะเป็นที่นิยม เนื่องจากสามารถทำงานการกุศลได้เต็มที่กว่าการบริจาคตามที่มีคนขอ ดิฉันขอเรียกกลุ่มที่มีการจัดการดีว่า การบริจาคแบบเชิงรุก (Active) ในขณะที่ขอเรียกการบริจาคเมื่อมีคนมาขอ หรือเมื่อมีสถานการณ์ฉุกเฉินว่าเป็นการบริจาคแบบตั้งรับ (Passive)

    เพื่อช่วยให้ท่านวางแผนการจัดเงินบริจาคได้ดีขึ้น จะขอแบ่งประเภทการบริจาคตามวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1. เพื่อศาสนา 2. เพื่อเศรษฐกิจและสังคม 3. เพื่อสิ่งแวดล้อม 5. เพื่อสุขภาพและอนามัย 6. เพื่อศิลปะและวัฒนธรรม 

    ในขณะเดียวกัน ผู้บริจาคอาจมองการบริจาคในมุมของผู้รับ คือ 1. ผู้สืบทอดศาสนา 2. เด็ก 3. สตรี  4. ผู้สูงวัย 5.ผู้ด้อยโอกาส และ 6. ผู้พิการ 

    เมื่อเรานำทั้งสองลักษณะมาผสมผสานกัน เราจะเห็นจุดมุ่งหมายของการให้มากขึ้น เช่น บริจาคเงินสร้างศูนย์ฟื้นฟูและเสริมสร้างสมรรถภาพของคนพิการและผู้สูงวัย ก็จะได้ประโยชน์แก่ผู้สูงวัยทั้งบุรุษและสตรี คนพิการซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผู้ด้อยโอกาสด้วย

    ไปค้นหาข้อมูลดู พบว่า อภิมหาเศรษฐีของโลกส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นการบริจาคไปยังกิจกรรมที่ตนมีความสนใจ หรือเกี่ยวข้องกับตนเอง เช่น จอร์จ มิทเชลล์ (George Mitchell) อภิมหาเศรษฐีผู้คิดค้นระบบไฮดรอลิค ที่จากไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2556 ในวัย 94 ปี มีมูลนิธิของตัวเองโดยใช้ชื่อของตนและภรรยา ชื่อ Cynthia & George Mitchell ให้เงินสนับสนุนพลังงานสะอาด การใช้ก๊าซธรรมชาติอย่างยั่งยืน และโครงการสิ่งแวดล้อมต่างๆ รวมถึงการใช้เงินส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากเทคโนโลยีไฮดรอลิคที่เขาคิดค้นขึ้นด้วย

    มาร์ค ซัคเคิลเบอร์ก เจ้าของและผู้ก่อตั้งเฟซบุ้คและภรรยา ได้บริจาคหุ้นเฟซบุ้คจำนวน 18 ล้านหุ้น มูลค่าในตอนนั้นประมาณ 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับมูลนิธิ Silicon Valley Community ซึ่งเป็นมูลนิธิใหญ่ที่สุดแก่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่องค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต่างๆ ก็เนื่องมาจากว่าซิลิคอนแวลเลย์ เป็นจุดกำเนิดของความมั่งคั่งของเขา

    ที่เป็นที่นิยมมากอีกแบบหนึ่งคือ การบริจาคให้กับมหาวิทยาลัยของตัวเอง เช่น อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทยาชื่อดังคือ เมอร์ค (Merck) บริจากเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐให้กับ ศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ที่เขาเป็นศิษย์เก่า หรือ เบ็นเน็ตต์ เลอโบว์ (Bennett S. Lebow) เจ้าของ Borders และ Vector Group ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งถือหุ้นบริษัทผลิตบุหรี่ ได้บริจาคเงิน 49 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับคณะบริหารธุรกิจของมหาวิทยาลัย Drexel โดยมหาวิทยาลัยตั้งชื่อคณะบริหารธุรกิจตามชื่อของเขาว่า LeBow

    เดวิด จอห์น แซนสบูรี (David John Sainsbury) เจ้าของซุปเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป เป็นคนสหราชอาณาจักรคนแรกที่บริจาคเงินถึง 1 พันล้านปอนด์ให้การกุศลในปี 2552 โดยตั้งมูลนิธิ Gatsby Charitable ดูแลหลายด้าน รวมถึงด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการช่วยเหลือเด็ก 

    คาลอส สลิม อภิมหาเศรษฐีชาวเม็กซิกันที่ร่ำรวยจากกิจการโทรคมนาคม และเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกในปี 2010 จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ ก็ก่อตั้งมูลนิธิ คาร์ลอส สลิม เพื่อดูแลเรื่องยา และสุขภาพในเม็กซิโก

    หยู เป็งเหนียน (Yu Pengnian) นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจีน ตั้งมูลนิธิช่วยผ่าตัดต้อกระจกให้กับคนจน และช่วยคนในเขตยากจนของจีน ในช่วงปี 2546-2553 บริจาคเงินไป 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ

    สำหรับคนธรรมดาอย่างเราที่เป็นคนรวยศีลทาน อยากแนะนำให้ท่านเปลี่ยนจากการบริจาคแบบตั้งรับ ให้เป็นแบบเชิงรุก วางแผนการบริจาคโดยกระจายไปในด้านต่างๆที่ท่านสนใจและอยากช่วยเหลือ เพื่อให้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้นค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส