บัฟเฟตต์กับหุ้นเทสโก้/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

บัฟเฟตต์กับหุ้นเทสโก้/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ต.ค. 13, 2014 2:37 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    เมื่อเร็ว ๆ นี้ วอเร็น บัฟเฟตต์ ได้ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าตนเองนั้น  “ทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง” ในการลงทุนซื้อหุ้นบริษัทเทสโก้  เจ้าของเครือข่ายค้าปลีกแบบดิสเคาท์สโตร์ขนาดใหญ่สัญชาติอังกฤษที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก  เหตุเพราะว่าหุ้นเทสโก้มีราคาร่วงลงอย่างแรงภายในสัปดาห์เดียวถึง 17% หลังจากที่ประธานเจ้าหน้าที่การเงินของบริษัทออกมายอมรับว่าบริษัทได้รายงานผลประกอบการครึ่งปีที่ผ่านมาผิดพลาดโดยมีการลงบัญชีว่าบริษัททำกำไรสูงกว่าความเป็นจริงถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ  ราคาหุ้นตกลงมาเหลือประมาณ 1.8 ปอนด์ซึ่งเป็นราคาต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปีหลังจากเดือนเมษายน 2003  และเป็นการตกต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีที่ราคาหุ้นเทสโก้ลดลงถึง 48%  

    วอเร็น บัฟเฟตต์เริ่มต้นซื้อหุ้นเทสโก้ตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2006  ในจำนวนประมาณ 330 ล้านเหรียญหรือประมาณหมื่นล้านบาท  หลังจากนั้นก็มีการซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนมีมูลค่า 2.1 พันล้านเหรียญหรือประมาณ 67,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 5% ของบริษัท  แต่ต่อมาเขาก็เริ่มขายหุ้นไปบ้างจนเหลือประมาณ 3.7% ณ. สิ้นปีที่ผ่านมาและเป็นผู้ถือหุ้นที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของบริษัท  โดยรวมแล้ว  การถือหุ้นของบัฟเฟตต์ในหุ้นเทสโก้นั้นทำให้เขาขาดทุนไปประมาณ 700 ล้านเหรียญหรือประมาณ 22,400 ล้านบาท ซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นการขาดทุนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของบัฟเฟตต์ในการถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง   จริงอยู่บัฟเฟตต์เคยเจ็บตัวจากการลงทุนหลายครั้งเหมือนกัน เช่นการลงทุนในหุ้นสายการบินและหุ้นของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง  แต่การขาดทุนนั้นมักจะเป็นเรื่องของการ  “ขาดทุนชั่วคราว”  และเมื่อถือต่อไป  บางทีเขาก็  “ได้ทุนคืนมา” เหตุเพราะว่าราคาหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นและเขาขายมันทิ้งไปเมื่อรู้ว่าตนเอง “ผิดพลาด”

    โดยปกตินั้น  ถ้าบัฟเฟตต์ซื้อหุ้นตัวไหน  เขาจะต้องมั่นใจมากว่าพื้นฐานของบริษัทจะต้องดีและราคาที่เขาซื้อนั้นถูกหรือเหมาะสมกับมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท  และมูลค่าที่แท้จริงในความหมายของเขาก็คือ  มันเป็นมูลค่าที่มาจากกระแสเงินสดของบริษัทที่จะจ่ายให้กับผู้ถือหุ้นตลอดชีวิต  ดังนั้น  ถ้าเขาคาดการณ์ไม่ผิดในเรื่องความสามารถในการทำเงินของบริษัทแล้ว   เขาก็พร้อมที่จะซื้อหุ้นและ  “ถือมันไปตลอดชีวิต”  โดยที่ไม่ต้องขายแม้ว่าหุ้นในระยะสั้นจะตกลงมามาก   ในบางกรณีที่บัฟเฟตต์ไม่แน่ใจในความสามารถของบริษัทที่จะทำกำไรและสร้างกระแสเงินสดระยะยาวได้  เขาก็มักจะกำหนด “เงื่อนไขในการลงทุน”  เช่น  แทนที่จะซื้อเป็นหุ้น  เขาก็จะซื้อเป็นพันธบัตรที่มีสิทธิแปลงเป็นหุ้นหรือได้วอแรนต์มาฟรีเพื่อที่ว่าในกรณีที่บริษัทไม่ดีอย่างที่คิด  ทำให้หุ้นไม่ขึ้นหรือตกลงไปแต่บริษัทก็ไม่ถึงกับล้มละลาย  เขาก็จะสามารถได้เงินต้นคืนและแค่เสียโอกาสในการทำกำไรจากหุ้นเท่านั้น

    ที่ผ่านมานั้น บัฟเฟตต์จึงมักจะลงทุนในบริษัทที่  “มีความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืน”  มีผลประกอบการที่มั่นคงสม่ำเสมอ  และมีหนี้ไม่มาก  สามารถสร้างกระแสเงินสดได้ดีและไม่ต้องลงทุนมากนัก  อีกข้อหนึ่งที่อาจไม่ค่อยเกี่ยวกับเรื่องของการทำกำไรนักก็คือ  เขาต้องการหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่ทำให้เขาสามารถลงทุนเป็นเรื่องเป็นราวไม่เป็นเบี้ยหัวแตกที่ไม่มีความหมายกับพอร์ตที่มีขนาดยักษ์ของเขา  นอกจากนั้น  ช่วงจังหวะเวลาที่เขาชอบที่จะเข้าลงทุนก็คือช่วงเวลาที่บริษัทอาจจะมีปัญหาที่เขาคิดว่า “แก้ไขได้”  และราคาหุ้นตกลงมามากที่จะทำให้การลงทุนของเขาได้ผลตอบแทนมากขึ้น   ทั้งหมดนี้ผมคิดว่า  เข้ากับ Story และคุณสมบัติของหุ้นเทสโก้แทบจะสมบูรณ์แบบในปี 2006 ที่เขาเริ่มเข้าไปซื้อนั่นคือ

    เทสโก้มีความได้เปรียบเนื่องจากมันมีขนาดที่ใหญ่มากโดยเฉพาะในอังกฤษและอีกหลายแห่งในโลกรวมถึงประเทศไทย  และธุรกิจขายสินค้าประจำวันแบบนี้  ขนาดเป็นเรื่องที่ทำให้ได้เปรียบค่อนข้างมาก  นอกจากนั้น  ผลการดำเนินงานของ Modern Trade นั้น  มักจะมีความสม่ำเสมอสูงเนื่องจากเกี่ยวข้องกับคนเป็นล้าน ๆ คนและบริษัทมักจะกำหนดมาร์จินหรือผลกำไรลงบนต้นทุนขายได้  กระแสเงินสดเองก็มักจะดีมากเพราะสามารถได้เครดิตการค้ายาวและขายเงินสด  เทสโก้จึงสามารถจ่ายปันผลได้สูงมาโดยตลอด  ในด้านของจังหวะเวลาในการเข้าซื้อเองนั้น  ในกรณีของเทสโก้นั้นดูเหมือนว่าที่ผ่านมาก่อนถึงปี 2006 ที่บัฟเฟตต์ซื้อนั้น  จะไม่มีช่วงเวลาที่บริษัทจะย่ำแย่หรือราคาหุ้นตกลงมาแรงมาก ๆ  ซึ่งนี่ก็คล้ายกับกรณีของหุ้นวอลมาร์ทที่บัฟเฟตต์ไม่ได้ซื้อและรอมาเรื่อย ๆ  จน “ทนไม่ไหว”  และเขาอาจจะเริ่มตระหนักว่าหุ้นค้าปลีกนั้น  จะโตไปเรื่อย ๆ  อย่างมั่นคงและมีโอกาสที่จะพลาดอย่างรุนแรงยาก  ดังนั้น  เขาจึงเริ่มเข้าซื้อหุ้นดิสเค้าท์สโตร์ขนาดใหญ่ทั้งวอลมาร์ทและเทสโก้ในเวลาต่อมา

    หลังจากซื้อหุ้นเทสโก้แล้วก็ดูเหมือนว่า “ภาพใหญ่” นั่นคือภาวะเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโดยเฉพาะของยุโรปและอังกฤษจะไม่เข้าข้างเขาเลย  วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 ทำให้หุ้นเทสโก้ตกลงมาประมาณ 30% และน่าจะทำให้กำไรในช่วงแรกของบัฟเฟตต์หดหายไปหมด  แต่หลังจากนั้น  ราคาหุ้นก็  “ตีตื้น” ขึ้นได้เนื่องจากลักษณะของธุรกิจที่อาจจะเป็น  “Defensive” คือไม่ถูกกระทบจากภาวะเศรษฐกิจมากนักเนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน  อย่างไรก็ตาม  ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้  ผลการดำเนินงานของเทสโก้ก็เริ่ม “ออกอาการ”  ยอดขายเริ่มโตช้าหรือไม่โตเลย  ยอดขายของร้านเดิมติดลบแรงอันเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่  แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ  ส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทเริ่มลดลงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง  ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเมื่อเทียบกับร้านเครือข่ายอื่นแย่ลงมาก  ในส่วนของตลาดบน   คู่แข่งอย่าง Sainsbury ก็ดีขึ้นเทียบกับเทสโก้  ในส่วนของตลาดล่างลงมา  เครือข่ายของบริษัทเยอรมันเช่น  ALDI หรือ LIDL ก็ใช้กลยุทธ์ด้านราคาที่ถูกที่สุดโดยเน้นขายสินค้าเฮ้าส์แบรนด์  ก็สามารถแย่งตลาดของเทสโก้ได้มาก  เทสโก้ถูกบีบทั้งสองด้าน  และนี่ทำให้ราคาหุ้นเริ่มไหลลงมาตลอด  และ “ตะปูตัวสุดท้าย” ก็คือความฉ่าวโฉ่ทางด้านบัญชีที่ทำให้ราคาหุ้นดิ่งลงมาอย่างหนัก

    บัฟเฟตต์เองยังไม่ได้ขายหุ้นเทสโก้ทั้งหมดและผมเองก็ไม่รู้ว่าบัฟเฟตต์จะถือต่อไปแค่ไหน  ผมไม่รู้ว่าราคานี้เป็นราคาที่เหมาะสมหรือยังกับพื้นฐานที่แย่ลง  ผมเองเคยคิดที่จะซื้อหุ้นเทสโก้เหมือนกันก่อนที่จะเกิดเรื่องของบัญชี  เหตุผลที่ผมคิดในตอนนั้นก็คือ  ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่นั้น  ยังไงมันก็ยังน่าจะมีกำไรและมีเงินสดที่จะจ่ายปันผลได้ดี  และเมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น  ผลประกอบการก็น่าจะดีขึ้น  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ผมจะซื้อได้ในราคาต่ำกว่าบัฟเฟตต์พอสมควรทีเดียว  โชคดีที่ผมไม่ได้ซื้อ  อย่างไรก็ตาม  หลังเกิดเหตุการณ์และราคาหุ้นตกลงไปมากพร้อม ๆ  กับที่บัฟเฟตต์ออกมาสารภาพว่าตนเองผิดพลาด  ผมก็ยังไม่ได้ทำอะไร  ผมคิดว่าแม้ราคาจะลดลงไปอีกแต่ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้น  ผมเองก็เริ่มรู้สึกว่า  ค้าปลีกเองก็มีความเสี่ยงโดยเฉพาะในประเทศที่การบริโภค “อิ่มตัว” และพัฒนาการต่าง ๆ  ที่เปลี่ยนไปในโลกของการบริการ

    บทเรียนของเทสโก้กับบัฟเฟตต์นั้น  ผมคิดว่าสอนให้เราเรียนรู้ว่า  หนึ่ง  ไม่มีใครถูกเสมอไปในเรื่องของการลงทุนและเราไม่รู้ว่าเขาจะพลาดในวันไหน  สอง  ไม่มีบริษัทไหนที่แข็งแกร่งขนาดที่ไม่มีอะไรสามารถทำลายมันได้แม้ว่าในวันที่เรามองดู  ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีวันแพ้  สาม  ถ้าคุณเข้าซื้อหุ้นในวันที่ราคามันอยู่ในระดับใกล้กับราคาสูงสุดในประวัติศาสตร์ของมันอย่างหุ้นเทสโก้ในปี 2006 ที่บัฟเฟตต์เข้าซื้อ  ความเสี่ยงก็น่าจะเพิ่มขึ้นมาก  และสุดท้ายก็คือ  เรื่องของผู้บริหาร  ซึ่งผมเชื่อว่าบัฟเฟตต์เองคงจะรู้สึกเจ็บหนักที่สุดก็คือ  ผู้บริหารที่แย่นั้น  ทำลายมูลค่าของบริษัทได้มากมายและเป็นเรื่องยากที่เราจะรู้ว่าใครเป็นอย่างไร    เรื่องของเทสโก้กับบัฟเฟตต์นั้นยังไม่จบเพราะเขายังถือหุ้นอยู่ไม่น้อย  เราคงต้องดูกันต่อว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างไรในอีก  “หลายตอน”  ข้างหน้า  ซึ่งก็คงอีกหลายปีเพราะกิจการที่ยิ่งใหญ่นั้นไม่ “ตาย” ง่าย ๆ
[/size]



ตอบกลับโพส