โค้ด: เลือกทั้งหมด
เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมได้อ่านหนังสือชื่อ “Happy Money” เขียนโดย Elizabeth Dunn และ Michael Norton หรือถ้าแปลเป็นไทยก็คือ “เงินที่มีความสุข” ซึ่งเนื้อหาหลักก็คือ “การใช้เงินที่จะก่อให้เกิดความสุขสูงสุดแก่ผู้ใช้” ซึ่งเรื่องนี้คนทั่วไปอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องของรสนิยมของแต่ละคนและก็มักจะใกล้เคียงกันนั่นก็คือ ใช้เงินเพื่อสนองความต้องการของตนเองในด้านต่าง ๆ ตามที่ใจต้องการสูงสุดในขณะนั้นเราก็จะมีความสุขสูงสุด แต่หนังสือเล่มนี้บอกว่านั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผิด เพราะจากการศึกษาทางด้านจิตวิทยามากมายบอกว่า ความสุขที่ได้จากการจ่ายเงินซื้อสิ่งของหรือบริการแต่ละอย่างด้วยเงินที่เท่ากันนั้นไม่เท่ากัน สิ่งของหรือบริการบางอย่างจะให้ความสุขสูงกว่าและยาวนานกว่าสิ่งอื่น ดังนั้น ถ้าเรา “ใช้เงินเป็น” เราก็จะมีความสุขมากกว่าด้วยเงินที่เท่ากัน มาดูกันว่าสิ่งของหรือบริการประเภทไหนให้ความสุขมากกว่าและการใช้เงินแบบไหนที่จะก่อให้เกิดความสุขมากกว่าสิ่งที่เราเคยเชื่อ
หลักการใหญ่ข้อแรกที่ผู้เขียนนำเสนอก็คือ การใช้เงินซื้อ “ของ” นั้น มักจะให้ความสุขน้อยกว่าการ“ซื้อประสบการณ์” เพราะของนั้น อาจจะให้ความสุขในขณะที่ซื้อ แต่เวลาใช้ไปซักพักหนึ่งเราก็มักจะรู้สึกชิน ความสุขก็จะหายไป แต่ประสบการณ์นั้น จะอยู่ในความทรงจำไปอีกนานและทำให้เรามีความสุข วัตถุและสิ่งของนั้น แม้ว่าจะเป็นของหรูราคาแพงเช่น เพชรพลอย เครื่องเล่นไฟฟ้าราคาแพง หรือแม้แต่บ้านหรูนั้น มักจะให้ความสุขไม่เท่ากับประสบการณ์ที่น่าประทับใจที่เราได้ประสบอย่างเช่นการท่องเที่ยวที่สุดแสนจะโรแมนติคหรือท้าทายที่ “ตรึงอยู่ในความทรงจำ”
ประสบการณ์ที่จะทำให้มีความสุขมากนั้น ควรที่จะมีคุณสมบัติ เช่น มันนำเราเข้าไปรู้จักและมีความสัมพันธ์กับคนอื่น หรือมันมีเรื่องราวที่น่าประทับใจที่เราจะมีความสุขที่จะเล่ามันซ้ำ ๆ ไปอีกนานทุกครั้งที่มีโอกาส หรือมันเป็นประสบการณ์ที่เชื่อมโยงกับความรู้สึกที่บ่งบอกตัวตนของเราอย่างใกล้ชิด หรือมันเป็นประสบการณ์ที่เป็นโอกาสแบบ “ครั้งหนึ่งในชีวิต” ที่เราจะได้ประสบ เป็นต้น ในความรู้สึกของผมเอง ผมคิดว่าการ “ซื้อประสบการณ์” นั้น มีคุณค่าและมีความสุขกว่าการซื้อสิ่งของจริง ๆ ถ้าจะนับว่าผมใช้เงินไปกับอะไรที่ค่อนข้างมากในแต่ละปี คำตอบก็คือการท่องเที่ยวโดยเฉพาะที่ผมชอบเป็นพิเศษก็คือ ได้ไปพบเห็นอะไรที่ดูแปลกตาและ “มหัศจรรย์” ซึ่งทำให้ผมจำได้และต้องพูดหรือนึกถึงทุกครั้งที่มีโอกาส ตัวอย่างเช่น การได้เห็นปิรามิดในอียิปต์หรือเมืองเพตราที่เกิดจากการสลักหรือเจาะภูเขาสีชมพูเพื่อสร้างบ้าน โบสถ์ และสิ่งก่อสร้างทั้งหลายของเมืองในจอร์แดน เป็นต้น ผมคิดว่านี่เป็นการใช้จ่ายเงินที่คุ้มค่าและให้ความสุขจริง ๆ ดังนั้น การซื้อประสบการณ์ที่ดีมากนั้นจึงควรที่จะเป็นสิ่งที่เราคิดถึงเป็นอันดับต้น ๆ ในกรณีที่เรามีเงินพอที่จะทำได้
ข้อสองของการที่จะทำให้การใช้เงินก่อให้เกิดความสุขมากขึ้นก็คือ “ทำให้มันเป็นการเลี้ยงฉลอง” หรือพูดง่าย ๆ อย่าทำอะไรหรือจ่ายเงินซื้ออะไรแบบเป็นเรื่อง “ทำประจำ” เพราะการที่เราทำอะไรซ้ำ ๆ เป็นประจำนั้นจะทำให้เราเคยชิน เราจะไม่รู้สึกว่าการทำอย่างนั้นจะเป็นความสุข การมีหรือทำอะไรหรือกินอะไรที่เรามีอย่าง “เหลือเฟือ” นั้น ความสนุก ความอร่อย หรือความสุขจะหายไปมาก แต่อะไรที่เรานาน ๆ จะมีโอกาสได้ทำหรือได้กินหรือได้ใช้มันนั้นจะดูมีคุณค่าและก่อให้เกิดความสุขได้มากกว่า พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมยังจำได้ว่าในสมัยที่ผมยังเป็นเด็กอยู่นั้น ในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่บ้านผมจะซื้อน้ำอัดลมมาประมาณครึ่งลังหรือประมาณ 12 ขวดถ้าจำไม่ผิด และผมจะดื่มมันได้หลายวัน ผมรู้สึกว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่ผมชอบและมีความสุขที่ได้ดื่มมันมาก เหตุผลก็เพราะมันแทบจะเป็นโอกาสเดียวของปีที่ผมจะได้ “เฉลิมฉลอง” และดื่มมันอย่างมีความสุข เมื่อผมโตขึ้นและสามารถดื่มมันทุกวัน ความสุขจากการดื่มน้ำอัดลมก็เหลือเพียงนิดเดียว เทคนิคในการทำให้เรื่องต่าง ๆ เป็นการ “เลี้ยงฉลอง” นั้น ผมคิดว่าแต่ละคนก็คงต้องค้นหา แม้แต่เรื่องเล็กน้อยอย่างการดื่มกาแฟร้านดังเราก็อย่าไปกินทุกวัน อาจจะกินแค่วันศุกร์หรืออะไรทำนองนี้ และกาแฟแก้วนั้นก็จะอร่อยเป็นพิเศษ เพราะมันเป็นกาแฟที่เรา “ตั้งใจรอ” มาหลายวัน
“ซื้อเวลา” นี่คืออีกเรื่องหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นการใช้เงินอย่างฉลาดและคุ้มค่าให้ความสุขมากกว่าเรื่องอื่น ๆ อีกหลาย ๆ เรื่อง เหตุผลก็คือ เรามักจะ “เสียเวลา” ไปกับเรื่องที่ “ไม่รื่นรมย์” เป็นอันมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก “งานบ้าน” ที่เป็นงานประจำที่น่าเบื่อหน่าย วิธีการที่จะตัดสิ่งที่น่าเบื่อและไม่ก่อให้เกิดความสุขแก่เราที่ง่ายที่สุดก็คือ “จ้างให้คนอื่นทำ” หรือลดหรือไม่ต้องทำเองแต่ไป “ซื้อ” มากินเพื่อที่จะตัดเวลาที่เราต้องทำกินเอง เป็นต้น หลักการสำคัญของเรื่องการซื้อเวลานั้นก็คือ งานนั้นถ้าเราทำเองจะต้องใช้เวลามากและเราไม่ชำนาญ นอกจากนั้น มันเป็นงานที่เราไม่ได้มีความสุขที่จะทำ ตัวอย่างวิธีการ “ซื้อเวลา” ง่าย ๆ ก็เช่น เราไปซื้อเครื่องดูดฝุ่นที่ทำงานเองอัตโนมัติมาใช้ให้มันดูดฝุ่นเวลาเราไม่ได้อยู่ที่บ้าน อีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องใหญ่มากก็คือ เรายอมซื้อบ้านที่แพงขึ้นมากและมีพื้นที่ใช้สอยต่ำแต่มันอยู่ใกล้ที่ทำงานในเมืองแทนที่จะซื้อบ้านที่ใหญ่และอยู่นอกเมืองซึ่งห่างจากที่ทำงานมากซึ่งทำให้เราต้อง “เสียเวลา” เดินทางไปกลับทุกวันอย่างนี้เป็นต้น การซื้อเวลาจะทำให้เรามีเวลาว่างมากขึ้นที่จะทำอะไรต่าง ๆ ที่มีความสุขและหลีกเลี่ยง “ความทุกข์” ที่เกิดจากการต้องทำในสิ่งที่ไม่ได้ให้ความรื่นรมย์แก่เรา
“จ่ายก่อน บริโภคทีหลัง” นี่เป็นแนวคิดที่แปลกและหลายคนก็ไม่ใคร่จะเชื่อว่ามันจะเพิ่มความสุขได้ คนส่วนใหญ่ต้องการเลื่อนการจ่ายเงินออกไปให้นานที่สุดแต่ต้องการบริโภคหรือได้ใช้สินค้าก่อน คนคิดว่า “บินก่อนผ่อนทีหลัง” นั้นมีความสุข แต่จริง ๆ แล้ว การมานั่งผ่อนไปอีกหลายเดือนนั้นอาจจะก่อให้เกิดความทุกข์ตามมา การจ่ายพร้อมบินเองก็ไม่ได้ให้ความสุขเหมือนกับว่าเราจ่ายไปแล้วตั้งนาน เพราะว่าเมื่อจ่ายไปแล้วหลังจากนั้นเราก็ “ตั้งตาคอย” ว่าเราจะได้ไปเที่ยวอย่างมีความสุข ในวันที่กำลังเที่ยวนั้น เราก็เที่ยวอย่างสบายใจราวกับว่า “เที่ยวฟรี” จิตวิทยาของคนนั้น เราชอบที่จะสร้างความรู้สึกที่ดีต่ออนาคตที่ดี ๆ ที่กำลังจะมาถึง ดังนั้นในช่วงที่เรารอคอยเราจะมีความสุขมาก แต่พอเรื่องนั้นมาถึงแล้วจริง ๆ ความสุขก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว ลองนึกดูว่าถ้าเราจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อซื้อเครื่องมือสื่อสารรุ่นใหม่ล่าสุดที่ทุกคนรอคอย ช่วงที่เรากำลังรอนั้นเราจะมีความสุขมาก แต่เมื่อได้แล้วไม่กี่วันอารมณ์ความสุขก็จะหายไป ดังนั้น ถ้าเรามีโอกาสคราวหลังเวลาซื้ออะไรให้พยายามจ่ายก่อน อย่าจ่ายทีหลัง แต่เรื่องนี้ผมคิดว่าน้อยคนจะอยากทำ
เรื่องสุดท้ายของการจ่ายเงินที่จะก่อให้เกิดความสุขมากกว่าปกติก็คือ การ “ลงทุนในคนอื่น” หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ “ให้เงินคนอื่น” เพื่อช่วยเหลือเขาหรืออาจจะแค่ให้เขาดีใจที่ได้รับเงินหรือของที่เขาอยากได้ การทำบุญทำทานหรือการบริจาคเงินเพื่อการกุศลก็เป็นรายการใหญ่อันหนึ่งในเรื่องของการ “ลงทุนในคนอื่น” นี่ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องแปลกที่ว่าเราให้เงินคนอื่นแล้วเรากลับมีความสุขมาก เราไม่เสียดายหรือ? มีคนเคยถาม วอเร็น บัฟเฟตต์ ว่าเขารู้สึกอย่างไรหลังจากที่เขาประกาศบริจาคเงินส่วนใหญ่ของเขาให้กับสาธารณกุศลโดยเฉพาะกองทุนของบิลเกต เขาตอบว่าเขา “มีความสุขมาก” เขาไม่ได้พูดเล่น การศึกษาพบว่าคนที่บริจาคหรือให้เงินคนอื่นนั้น จะได้รับความสุขทางใจสูง แต่มีเงื่อนไขว่าเขาจะต้องสมัครใจเองจริง ๆ ไม่ได้ถูกบังคับหรือเสมือนถูกบังคับให้บริจาค และเขารู้ว่าเงินของเขานั้นจะไปถึงคนหรือองค์กรที่เขาเห็นว่าจะสามารถสร้างความแตกต่างได้ ไม่ใช่ให้ไปแล้วก็ไม่มีความหมายอะไรกับผู้รับ
ทั้งหมดนั้นก็เป็นเรื่องของการใช้เงินที่จะก่อให้เกิดความสุขสูงสุดที่คนจำนวนมากอาจจะไม่ตระหนัก บางทีเราอาจจะต้องคิดเหมือนกันว่าเราจำเป็นต้องเป็นเจ้าของบ้านไหม? ถ้าการเป็นเจ้าของนั้นจริง ๆ แล้วไม่ได้ให้ความสุขอะไรมากมาย เงินที่เหลือจากการไม่ซื้อบ้านนั้น อาจจะสามารถ “ซื้อความสุข” อย่างอื่นได้มากกว่าก็เป็นได้ ผมพูดเรื่องนี้เพราะนึกถึงตัวเองที่เพิ่งจะมีบ้าน “ของตัวเอง” จริง ๆ เมื่อ 2-3 ปีมานี้เองโดยที่ไม่รู้สึกว่าความสุขหายไปไหนเลยในหลายสิบปีที่ผ่านมา