โค้ด: เลือกทั้งหมด
เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ดิฉันได้ไปร่วมบรรยายให้กับผู้นำชุมชนของกรุงเทพมหานคร จำนวนประมาณ 2,000 คน เกี่ยวกับการจัดการหนี้สิน ซึ่งกรุงเทพมหานครจัดขึ้นที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง
นอกจากเนื้อหาการจัดการหนี้สินที่มีการเสวนากันในช่วง “หญิงไทยใจกล้า…เผชิญหน้าเผชิญหนี้”แล้ว กรุงเทพมหานครยังมีการเปิดคลินิก “หมอหนี้”มีผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ส่งเสริมการบริหารเงินออมครอบครัว กองการพัฒนาชุมชน สำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร มาช่วยให้คำแนะนำในการบริหารจัดการหนี้ และบางครั้งถึงกับช่วยเจรจาปรับโครงสร้างหนี้ให้กับประชาชนที่มาขอรับการบริการ
ในช่วงพักกลางวันดิฉันได้มีโอกาสรับฟังกรณีศึกษาที่ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ นำมาแบ่งปันและหารือกัน ซึ่งน่าสนใจมากทีเดียว
เป็นที่ทราบกันทั่วไปแล้วว่า อัตราหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีของเราในสิบปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นจากระดับประมาณ 43%ในปี 2546 เป็นประมาณ 54% ในปี 2550 และเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ จนเป็น 83.5% เรียกเสียงฮือฮาได้มาก ในปี 2557 ที่ผ่านมา ซึ่งผลของการที่หนี้สินเพิ่มขึ้นนี้ ทำให้ความสามารถในการบริโภคจับจ่ายใช้สอยของคนไทยลดลง
เมื่อเทียบภาระหนี้สินต่อรายได้ ในปี 2543 หนี้สินต่อรายได้ของครัวเรือนไทยโดยเฉลี่ยทั่วประเทศเท่ากับ 47% เพิ่มเป็น 57% ในปี 2547 แต่ลดลงมาเหลือ 48% ในปี 2554 เนื่องจากมีการปรับฐานค่าแรงและเงินเดือนอย่างก้าวกระโดด และกลับเพิ่มขึ้นมาอีก เป็น 54%ในปี 2556
ภาระหนี้สินต่อรายได้นี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนหนี้ที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับรายได้ด้วย ว่ามีการปรับเพิ่มขึ้นหรือลดลงหรือไม่ หากจำนวนหนี้สินเพิ่มขึ้น แต่รายได้ก็เพิ่มในสัดส่วนเท่าๆกัน อัตรานี้ก็จะคงที่
ในการบริหารหนี้ก็เช่นเดียวกันค่ะ เราจะไม่พยายามให้ลดหนี้แต่เพียงอย่างเดียว หากสามารถหารายได้มาเพิ่มเติมได้ ก็จะช่วยให้มีความสามารถในการผ่อนชำระเพิ่มขึ้น
ดิฉันเคยเขียนไปในคอลัมน์นี้ถึงวิธีการบริหารจัดการหนี้ ซึ่งได้รวบรวมตีพิมพ์ในหนังสือ “Money Pro เงินทองต้องจัดการ”แล้ว จึงขอข้ามไปไม่เขียนซ้ำอีก แต่อยากเขียนถึงหลักการกว้างๆในการแก้ไขให้หลุดพ้นจากปัญหาหนี้สิน
สิ่งแรกที่ควรจะสำรวจคือ เราเป็นหนี้เนื่องมาจากสาเหตุใด
สาเหตุที่สมเหตุสมผลและควรจะต้องมีหนี้ คือเพื่อซื้อของชิ้นใหญ่ที่ไม่สามารถรอเก็บเงินให้ครบจึงจะซื้อได้ เช่น บ้าน หรือ รถ เนื่องจากราคาอาจจะขยับขึ้นไปมากจนเก็บเงินเพื่อซื้อไม่ทัน และอีกประการหนึ่งคือ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัยจะต่ำกว่าสินเชื่อประเภทอื่นๆ จึงคุ้มที่จะมีหนี้ค่ะ
สำหรับรถนั้น ดิฉันยังเห็นว่าจำเป็นน้อยกว่า แต่ทั้งสองอย่างมีลักษณะคล้ายกันคือ สามารถใช้ประโยชน์ได้ในระหว่างผ่อนชำระ และเมื่อผ่อนชำระหมด ก็ยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ต่อ โดยเฉพาะบ้านนั้น นอกจากจะใช้ประโยชน์ได้นานแล้ว มูลค่ายังอาจปรับตัวสูงขึ้นตามกาลเวลา หากอยู่ในทำเลที่ดีและมีการดูแลดี
สาเหตุที่ไม่สมเหตุสมผลเลยคือ มีหนี้จากการพนัน โดยข้อเท็จจริงแล้ว การพนันเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายไทย หนี้จากการพนันจึงไม่เป็นหนี้ที่สามารถส่งฟ้องศาลได้ เว้นแต่ลูกหนี้ไปเซ็นรับสภาพหนี้
หนี้จากการใช้จ่ายเกินตัว ก็เป็นหนี้ที่ไม่สมเหตุสมผล โดยเฉพาะการใช้จ่ายที่เกิดจากการบริโภคเกินกำลัง อยากวิ่งตามแฟชั่น อยากทำตัวไฮโซ
หนี้จากสาเหตุที่ไม่สมเหตุสมผลนี้ ควรต้องละ และ เลิก หากไม่เลิก ชีวิตจะไม่มีทางสงบได้ จึงต้องอาศัยพลังใจที่เข้มแข็ง และวินัยที่ดี
ทีนี้ก็มาถึงหนี้ที่เกิดจากเหตุสุดวิสัย เช่น เกิดจากความเจ็บป่วย หรืออุบัติเหตุ ยิ่งถ้าเป็นความเจ็บป่วยของผู้เป็นกำลังหลักในการหารายได้ของครอบครัว ก็จะยิ่งหนักเป็นสองเท่า ไหนจะต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ไหนจะต้องขาดรายได้
เหตุสุดวิสัยอย่างนี้ บริหารจัดการได้ด้วยการโอนความเสี่ยงไปให้บริษัทประกัน ซึ่งมีทั้งประกันภัยและประกันชีวิต โดยเราจ่ายค่าเบี้ยประกันให้กับบริษัทเหล่านี้ เพื่อให้เขารับความเสี่ยงแทนเรา
สำหรับกรณีที่พอจะมีเงินออมที่จะดูแลรักษาตัวอยู่บ้าง ก็อาจจะนำเงินออมนั้นมาใช้รักษาพยาบาลก่อน และเมื่อมีกำลังที่จะออมต่อ ให้รีบออมต่อทันที แต่ผู้มีเงินออมก็สามารถเลือกที่จะใช้บริการของบริษัทประกันได้เช่นกัน จะได้ไม่ต้องรบกวนเงินออมที่เก็บเอาไว้ การออมจะได้ไม่สะดุดค่ะ
หนี้ที่เกิดจากการช่วยเพื่อน โดยมากจะเกิดจากการไปค้ำประกัน หรือไปค้ำประกันร่วม หากหลีกเลี่ยงได้ ขอให้หลีกเลี่ยง ข้อนี้คุณสุรพล โอภาสเสถียร ได้ให้คำแนะนำในการจัดการดีมาก ดิฉันขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อ คือ คุณสุรพลบอกว่า หากเราไปค้ำประกันคนอื่น เท่ากับเราเอาอนาคตเราไปฝากไว้กับความประพฤติและการปฏิบัติตัวของคนอื่น (ไปรับกรรมแทนเขา)
วิธีปฏิเสธให้บอกว่า “หากเราค้ำประกันให้เขา และเขาผิดนัดไม่จ่ายหนี้ ภรรยา หรือสามีของเรา จะต้องโกรธ ต้องสาปแช่งให้เขาไม่ได้เจริญ ทำมาค้าไม่ขึ้น ไม่มีความสุขในชีวิต ฯลฯ ซึ่งเขาก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้น”
ถ้าเขายังอยากให้ค้ำประกันอยู่ คุณสุรพลแนะนำว่า ให้พาไปสาบานต่อหน้าพระประธานในโบสถ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่เคารพบูชาของอำเภอ หรือจังหวัดนั้นๆ ว่าหากเขาคิดจะไม่ชำระหนี้ ขอให้เขาไม่มีความเจริญ ทำมาค้าไม่ขึ้น ไม่มีความสุขในชีวิต จนกว่าเขาจะชำระหนี้เสร็จ”
คนไทยกลัวบาปค่ะ
หากจะช่วยจริงๆ ให้เงินช่วยเหลือไปตามกำลังที่เราพอจะช่วยได้ ยังดีกว่าการไปค้ำประกันค่ะ เพราะอย่างน้อยก็จำกัดอยู่เท่าจำนวนเงินที่เราให้ ไม่ต้องรับภาระดอกเบี้ยของหนี้นั้นที่จะพอกพูนขึ้นในอนาคต
หากท่านอยู่ในสภาวะที่ไม่ได้เหลือกินเหลือใช้ การอาจหาญไปช่วยคนอื่น ก็เปรียบเสมือน “เตี้ยอุ้มค่อม”คือแทนที่ครอบครัวเขาจะเดือดร้อนครอบครัวเดียว ครอบครัวท่านก็จะต้องเดือดร้อนไปอีกครอบครัวหนึ่ง
ถูกต้องค่ะว่าเราควรต้องมีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นยามตกทุกข์ได้ยาก แต่อยากให้ตระหนักว่า มีประโยชน์ไหมถ้าการช่วยนั้นทำให้เราและครอบครัวของเราเดือดร้อน
ดิฉันขอฝากคาถาของการหลุดพ้นจากหนี้เอาไว้ 5 ข้อคือ 1. ไม่ก่อหนี้เพิ่ม โดยเฉพาะหนี้จากการพนัน 2. รู้จักใช้จ่ายให้สมฐานะ หรือเรียกว่า “สมชีวิตา”3. มีวินัยในการเก็บออม เพื่อใช้หนี้ และเพื่อลงทุนสำหรับอนาคต 4. หารายได้เพิ่มหากจำเป็น และ 5. ถ้าจำเป็นต้องกู้ ให้กู้ในระบบ คือ ให้เป็นหนี้สถาบันการเงิน เพราะอัตราดอกเบี้ยไม่สูง และท่านมีโอกาสใช้หนี้ได้หมด หนี้นอกระบบส่วนใหญ่ คนกู้จะมีกำลังผ่อนเพียงดอกเบี้ยเท่านั้น แล้วหนี้ก็จะกลายเป็นหนี้ถาวร เพราะไม่เคยผ่อนเงินต้นให้ลดลงไปเลย
ทั้งนี้ จะหลุดพ้นจากหนี้ได้นั้น “ใจ”เป็นเรื่องสำคัญค่ะ ต้องตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องการปลดหนี้
อยากให้กระทรวงมหาดไทยสร้างหน่วยงาน “หมอหนี้”ไว้บริการประชาชนในจังหวัดอื่นๆด้วยค่ะ