ทำไมเศรษฐกิจโลกจึงไม่ฟื้น?/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ทำไมเศรษฐกิจโลกจึงไม่ฟื้น?/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ต.ค. 19, 2015 10:39 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เศรษฐกิจโลกเข้าสู่สภาวะถดถอยจากวิกฤติซับไพรม์ของสหรัฐในปี 2008 และธนาคารกลางสหรัฐก็สั่งยาแรงมาตั้งแต่ต้น คือการลดดอกเบี้ยนโยบายลงมาต่ำใกล้ศูนย์ และพิมพ์เงินออกมาซื้อพันธบัตร (คิวอี) กว่า 3 ล้านล้านเหรียญ ตามด้วยมาตรการประเภทเดียวกันของธนาคารกลางญี่ปุ่นและยุโรป แต่จนแล้วจนรอดเราก็ยังพูดกันจนติดปากในวันนี้ (ซึ่งเวลาทอดมาเกือบ 7 ปีแล้ว) ว่าเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัว

เมื่อการส่งออกไทยในเดือนสิงหาคมติดลบ 6% เราก็ให้เหตุผลว่า เป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลก เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดการคาดการณ์จีดีพีปีนี้และปีหน้า เราก็ให้เหตุผลว่าเป็นผลมาจากเศรษฐกิจโลก คำถามที่ตามมาคือ เศรษฐกิจโลกจะฟื้นได้เมื่อไหร่ หรือจะฟื้นหรือไม่ เพราะโดยปกติแล้วเศรษฐกิจโลกจะใช้เวลาฟื้นตัวจากสภาวะถดถอยเพียง 1-2 ปี และฟื้นตัวเต็มที่ 3-4 ปี จากนั้นก็จะมีแนวโน้มชะลอตัวลงหรือหดตัวจนเข้าสู่สภาวะถดถอย แต่ครั้งนี้ดูเสมือนว่า จะเลี้ยงอย่างไรก็ไม่ยอมโตเสียที

คำอธิบายว่าทำไมเศรษฐกิจโลกไม่ฟื้นตัวนั้น มักจะอ้างถึงเหตุผล 3 ข้อ คือ ปัจจุบันโลกมีหนี้สินมาก การแก่ตัวของประชากร และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีปัจจุบัน ซึ่ง ไม่ได้มีผลในเชิงบวกต่อเศรษฐกิจเช่นแต่ก่อน เช่นปัจจุบันเรามี facebook ซึ่งไม่ต้องลงทุนมากนัก แต่ก็ไม่ได้ให้ประโยชน์กับเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก แตกต่างจากการคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา เช่น ไฟฟ้า วิทยุ โทรศัพท์ เครื่องทำความเย็น รถไฟ โทรทัศน์ รถยนต์ และเครื่องบิน เป็นต้น

ในส่วนของการแก่ตัวลงของประชากรนั้น ผมจะไม่ขออธิบายมาก เพราะน่าจะเป็นเรื่องที่รับทราบกันมาอย่างสมบูรณ์ในระดับหนึ่งแล้ว ในครั้งนี้จึงจะขอเขียนถึงเรื่องหนี้สินของโลก เพราะผมเชื่อว่าปัญหาหนี้สินล้นพ้นตัวนั้น ได้เพิ่มความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลกอย่างมาก กล่าวคือผมไม่ได้เป็นห่วงว่าเราจะต้องเผชิญกับ “new normal” หรือโลกที่เศรษฐกิจขยายตัวอย่างเชื่องช้ากว่าแต่ก่อน เพราะหนี้สินที่สูงมาก อาจทำให้เกิดปัญหาทางธุรกิจและการล้มละลาย เป็นผลให้เศรษฐกิจโลกสะดุดตัว และระหว่างนั้นก็จะส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุน และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนดังที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ ในช่วงหลังนี้

ปัญหาหนี้สินนั้นได้มีการกล่าวตักเตือนกันเสมอมา ซึ่งผมขอสรุปอย่างสั้นๆ ดังนี้

1.เมื่อเกิดวิกฤติ และสหรัฐกลัวระบบการเงินของตนและของโลกล่มสลาย จึงทำการลดดอกเบี้ย และออกมาตรการคิวอี ซึ่งก็คือ การทำให้ต้นทุนทางการเงินต่ำใกล้ศูนย์และทำให้สภาพคล่องมีอยู่อย่างเหลือเฟือและต่อเนื่องยาวนานถึง 7 ปี (และจะยังคงสภาพดังกล่าวต่อไปอีก 2-3 ปี แต่จะดำเนินนโยบายการเงินที่รัดกุมเพิ่มขึ้นเล็กน้อยในอนาคต)

2.มาตรการดังกล่าวประสบความสำเร็จ ในการทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฟื้นตัวค่อนข้างรวดเร็ว และที่สำคัญคือ “เจ็บตัว” น้อย และนักธุรกิจสหรัฐยังสามารถรักษาความเป็นเจ้าของธนาคารและธุรกิจสำคัญๆ เอาไว้ได้ ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการพยุงราคาและทำให้ราคาสินทรัพย์ฟื้นตัวเป็นหลัก ทำให้คนรวยได้ประโยชน์สูงสุด แต่คนจนและมนุษย์เงินเดือนไม่พึงพอใจมากนัก ซึ่งผมคิดว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การเมืองของสหรัฐ และประเทศพัฒนาแล้วแตกแยกมากกว่าแต่ก่อน

3.เนื่องจากเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นเงินสกุลหลักของโลก นโยบายการเงินของสหรัฐจึงเป็นนโยบายการเงินของโลก ทำให้โลกทำการก่อหนี้เพิ่มขึ้น ทั้งๆ ที่ทราบกันดีว่าการก่อหนี้ในช่วง 2002-2007 เป็นสาเหตุหลักที่นำมาซึ่งวิกฤติเศรษฐกิจโลกในปี 2008 แต่ในช่วง 2008-2015 นี้ฝ่ายที่ก่อหนี้เพิ่มมากที่สุดคือประเทศตลาดเกิดใหม่ ดังนั้น ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกจึงขยับมาที่ประเทศตลาดเกิดใหม่

4.ดังนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยกับแนวคิดว่าเศรษฐกิจโลกกำลังฟื้นตัวเข้าสู่สภาวะ “new normal” หรือเข้าสู่ยุคใหม่ที่เศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ขยายตัวเชื่องช้ากว่าแต่ก่อน กล่าวคือปัจจุบันตลาดเงินตลาดทุนผันผวนอย่างมาก โดยสาเหตุหลักน่าจะมาจากความกังวลว่า สถานการณ์ไม่ปกติ เพราะหนี้สินที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เสี่ยงที่จะทำให้บริษัทบางบริษัท หรือแม้กระทั่งรัฐบาลบางประเทศ เผชิญปัญหาไม่สามารถจ่ายคืนหนี้ได้ และ เมื่อธนาคารกลางสหรัฐจำเป็นต้องเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ย (และในที่สุดต้องลดปริมาณคิวอีลง) ก็จะทำให้ปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้นทั่วโลก ทั้งนี้ ประเด็นคือจะต้องประเมินว่าภาคส่วนใดของเศรษฐกิจโลกมีความเปราะบาง และอาจมีปัญหาจ่ายคืนหนี้ไม่ได้ และหากมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วจะลุกลาม (contagion) ไปสู่ภาคเศรษฐกิจอื่นๆ หรือไม่

ดังนั้น จึงควรมาศึกษาในรายละเอียดเกี่ยวกับแนวโน้มการก่อหนี้ของโลกในช่วงเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา เพราะผมเชื่อว่า จะเป็นปัจจัยหลักที่จะนำไปสู่ปัญหาทางเศรษฐกิจของโลกในอนาคต ทั้งนี้ ปัญหาการพอกพูนของหนี้สินนั้น ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ได้มีการศึกษามาแล้ว ซึ่งผู้ที่สนใจจะศึกษาในรายละเอียด จะสามารถหาอ่านได้จากบทความ  3 บทความดังต่อไปนี้ ซึ่งผมมองว่ามีข้อมูลที่ค่อนข้างครบถ้วน (อาจมีบทความเช่นนี้อีกหลายบทความซึ่งผมยังไม่ได้อ่านพบนะครับ)

1.The global credit bubble and its economic consequences โดย McKinsey Global Institute July 2011

2.Deleveraging? What Deleveraging? โดย Geneva Reports on the World Economy (16) August 2014

3.Debt and (not much) Deleveraging โดย McKinsey Global Institute February 2015

ในครั้งหน้าผมจะเขียนถึงข้อสรุปของบทความข้างต้นครับ
[/size]



ตอบกลับโพส