TSLA - Tesla Motors Inc

[นายมานะ]

ราคาหุ้นเทสล่าในตอนนี้เรียกได้ว่าซื้อฝันกันเลยทีเดียว แต่ไม่รู้ว่าในอนาคตฝันจะเป็นจริงหรือป่าว?

เมื่อไม่นานมานี้ Mercedes-Benz ก็เผยนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้าทั้งแบบใช้คนขับและแบบขับเคลื่อนด้วยตัวเองออกมาเหมือนกัน และปัจจุบัน Mercedes-Benz พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแบบสปอร์ตออกมาให้เห็นแล้วครับ เหยีบได้เร็วแถมวิ้งได้ไกลอีกต่างหาก ยิ่งชั่วโมงนี้ผมนั่งอ่านข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ ดูเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นเมกะเทรนที่มาแรงและค่ายรถยนต์ทุกค่ายต่างไม่พลาดที่จะเข้าร่วมวง เห็นได้จากค่ายต่างๆเริ่มเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าออกมาเหมือนกัน อย่าง BMW Toyota Honda Nissan GM อีกทั้งยังมีรถยนต์ระบบไฮโดรเจนที่ปล่อยของเสียออกมาเป็นน้ำอีกด้วย

Tesla จึงไม่ไช่เพียงผู้เดียวที่ประสบความสำเร็จในการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ค่ายยักษ์ใหญ่อื่นๆก็ทำออกมาด้วยเหมือนกัน อีกทั้งค่ายยักษ์ใหญ่ดังกล่าวก็ผ่านร้อนผ่านหนาวในอุตสาหกรรมยานยนต์มาอย่างยาวนาน ส่วนตัวผมคิดว่าผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมยานยนต์มายาวนานกว่า จะมีข้อได้เปรียบในด้านภาพลักษณ์ของแบรนด์ ต้นทุนการผลิต เทคโนโลยีที่สามารถพัฒนาตามคนอื่นได้เร็ว ช่องทางการจัดจำหน่าย การบริการหลังการขาย อีกทั้งยังรู้ความต้องการและปัญหาของลูกค้า ทำให้สามารถตอบสนองต่อความพึงพอใจของลูกค้าได้ดีกว่า

น่าสนใจนะครับ ทำไม Tesla จึงยอมเปิดให้คนอื่นใช้สิทธิบัตรของตนเองได้ ถ้าหากมองว่าการที่คู่แข่งเข้ามามากๆ จะทำให้เค้าต้องเป็นผู้แพ้ในอนาคต

ต้นทุนของการผลิตเดิมนี่ผมเข้าใจว่าบริษัทรถยนต์เดิมนั้นมี Fix cost ที่สูงอยู่นะครับ และ GPM ของ Tesla ล่าสุดก็สูงกว่า GPM ของ Toyota หรือ Volkswagen แล้ว (Tesla = 25%, Toyota = 20% Volks = 17%)เ ลยไม่แน่ใจว่าต้นทุนการผลิตจากฐานการผลิตเดิมจะเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดรถไฟฟ้าหรือเปล่านะครับ โอเคว่า Tesla กำลังจะออกรุ่น Model 3 ซึ่งอาจจะทำให้ GPM ดรอปลงมาจากเดิมบ้าง แต่ก็อย่าลืมว่า Tesla เพิ่งออกรุ่น Model S ได้แค่ 3 ปี ซึ่งในอนาคตยังจะเพิ่ม Gap ตรงนี้ได้จาก learning curve หรือ EOS ที่มากขึ้น

ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ หรือเทคโนโลยี บริการหลังการขาย ผมว่าประเด็นเหล่านี้ไม่น่าใช่ปัญหาของ Tesla ครับ ปัญหาของ Tesla ตอนนี้น่าจะเป็น 1. เพิ่มกำลังการผลิต Battery ให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด 2. ทำอย่างไรให้ตลาดของรถยนต์ไฟฟ้าใหญ่ขึ้น ซึ่ง Tesla เองก็คงไม่ได้คาดหวังที่จะกิน MKT share ในส่วนของรถยนต์ไฟฟ้าเพียงคนเดียว เพราะการแข่งขันจะทำให้ตลาดนี้ใหญ่ขึ้น Ecosystem เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น และท้ายที่สุดคือจะทำให้คนทั่วทั้งโลกเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดได้เร็วขึ้น ตาม Mission ของ Tesla และตัว Musk เองครับ

แต่แน่นอนว่า SGA อื่นๆ ของ Tesla ยังสูงกว่า เพราะ Market share ของรถยนต์ไฟฟ้ายังเล็กมาก ทั้งจากคชจ.ในด้าน R&D และ SGA ที่ยังสูงอยู่ครับ ก็ต้องรอดูว่า Tesla จะเพิ่ม Scale การขายจนถึงจุดที่คชจ.เหล่านี้ลดลงมาได้หรือไม่ครับ

[นายมานะ]

ลองขอนำ GPM 8 บริษัทที่หาได้ มาเทียบนะครับพี่ vim (ข้อมูลจาก morning star ปี 2014 ครับ)

1. Toyota = 19.8%
2. Volks = 18.04% (เจ้าของ brand Bentley, Bugatti, Lamborghini, Audi, Porsche ฯลฯ)
3. Benz = 21.27%
4. BMW = 21.15%
5. GM = 12.01%
ุ6. Ford = 15.4%
7. Ferrari = 45.49%
8. Tesla = 27.57%

ซึ่ง peer ที่เทียบกันได้ใกล้เคียงขึ้น ผมกลับมองว่าเป็น Benz หรือ BMW มากกว่า เพราะราคาของ Model S อยู่ระดับเดียวกับ Benz S class, ($70,000-100,000) ไม่ได้แพงระดับ Ferrari โอเคว่าทั้ง Benz และ BMW มีรุ่นที่ถูกลงมามากกว่า แต่ระดับราคาก็ยังไม่ได้โดดขนาด Ferrari ที่ $200,000-300,000 จริงๆ Brand ที่เทียบกันได้ใกล้สุดคงเป็น Porsche แต่เพราะ Volks มีหลายแบรนด์ ก็เลยอาจเทียบยากหน่อย

และถ้าลองตัด Ferrari ที่เป็น Luxury แบบสุดๆ ออก จะเห็นว่าทั้ง Brand ที่มีราคาสูงกว่าอย่าง Volks Benz หรือ BMW กลับมีระดับ GPM ไม่ได้ต่างอะไรจาก Toyota เท่าไหร่ ซึ่งพออนุมานได้ว่า Learning curve และ EOS น่าจะทำให้ GPM ไต่ระดับสูงขึ้นมาได้ ในขณะที่ Tesla model S นั้นเพิ่งเปิดตัวได้เพียงแค่ 3 ปี น่าจะยังพอมี room ที่พัฒนาเพิ่มได้ โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง Gigafactory

ผมลองแทรค GPM ของ Tesla ในปี 2015 มีแนวโน้มดรอปลงมาจริงครับ (เหลือราว 22%) แต่ GPM ไม่ได้ลดลงเรื่อยๆ นะครับ ในปี 12 ที่เพิ่งออกรุ่น Model s GPM = 7% ปี 13 = 23% ก็คือมีโดดขึ้นในปีก่อน และกลับมาลดลงในปีนี้ ผมไม่แน่ใจสาเหตุเหมือนกัน (ไปลองหาอ่านคอมเม้นใน SA มีคนเดาว่าสาเหตุอาจเพราะการเพิ่ม Feature Autonomou/ค่าเงิน $ แข็ง ทำให้รายได้ดรอป) แต่ Musk ยืนยันว่า GPM ของ Tesla model S จะ Ramp up ไปได้ที่ 30% ในปีนี้ ก็อาจต้องติดตามดูครับว่าทำได้จริงอย่างที่ว่ามั้ย (แต่คงตามยากนิดนึง เพราะปีนี้จะออก model X มาด้วย ซึ่งแรกๆ GPM จะแย่กว่าแน่ๆ)

เรื่องความได้เปรียบทางการผลิตผมไม่มีความรู้เลยครับ เลยศึกษาเอาจาก GPM และดูสายการผลิตของ Tesla ที่แทบจะเป็น robot ทั้งหมด เมื่อนำมามองเทียบกับสายการผลิตของรถยนต์ในบ้านเราก็รู้สึกแตกต่างกันมาก แต่ผมไม่เคยไปเห็นเทียบกับใน zone อื่น เลยขอไม่คอมเม้นดีกว่าครับ

ประเด็นเรื่องต้นทุนการพัฒนา พี่ vim หมายถึง R&D ป่ะครับ ถ้าใช่ ตรงนี้เทียบเฉลี่ยต่อคันในช่วงที่ Scale ยังเล็กอยู่ ผมมองว่าสูงกว่าชาวบ้านเป็นเรื่องปกตินะครับ

เรื่องยอดขาย ผมลองหาข้อมูลเทียบกับ Chevy Volt และ Nissan leaf จากเดือน 10 2015 Tesla ยังสูงกว่าอันดับ 2 อยู่ราว 50% นะครับ (ตัวเลขในปจบ.ไม่แน่ใจ แต่ขี้เกียจหาแล้ว ^^")
http://cleantechnica.com/2015/11/05/1-2 ... n-october/

ซึ่งตรงนี้ผมว่าต้องเทียบที่ราคารถด้วย ถ้า Chevy Volt หรือ Nissan leaf จะ ramp up ขึ้นมามากกว่าก็ไม่ได้แปลกเลย เพราะราคาห่างกันมาก ซึ่งผมว่าถ้าเทียบ ควรเทียบกับรถยนต์น้ำมันที่ระดับราคาใกล้เคียงกันครับ มีคนทำไว้ใน SA ขออนุญาตเอามาแปะครับ

2015
Tesla S sold 25,202 vehicles, an increase of 51% over 2014
Mercedes S-Class: 21,934, a drop of 13% vs. 2014
BMW 7-Series: 9,292, a drop of 5%
BMW 6-Series: 8,146, a drop of 6%
Audi A7: 7,721, a drop of 5%
Lexus LS: 7,165, a drop of 16%
Mercedes CLS: 6,152, a drop of 12%
Audi A8: 4,990, a drop of 15%
Porsche Panamera: 4.985, a drop of 13%
Jaguar XJ: 3,611, a drop of 17%

ก็ขอเอา fact ที่พอหาได้มาแชร์เท่านี้ครับ ขอบคุณพี่ vim ที่มาช่วยแชร์นะครับ

[นายมานะ]

ขอบคุณพี่ vim มากครับ ตารางตัวเลขย้อนหลังน่าสนใจมากครับ ^^