นโยบายการค้าของนายทรัมป์/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

นโยบายการค้าของนายทรัมป์/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » อังคาร ธ.ค. 06, 2016 6:32 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เมื่อวันที่ 22 พ.ย. สื่อทั่วโลกรายงานการประกาศการถอนตัวของสหรัฐจากข้อตกลงทีพีพีโดยว่าที่ประธานาธิบดีทรัมผ่านวีดีโอเทปลงยูทูบ ซึ่งค่อนข้างจะแหวกแนวทั้งในเชิงของสาระและในเชิงของขั้นตอนทางปฏิบัติในการประกาศนโยบายสำคัญ ซึ่งปกติจะต้องมีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ นอกจากนั้นกว่านายทรัมจะรับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีก็ยังต้องรอถึงวันที่ 20 ม.ค.ปีหน้า และขณะนี้ก็ยังมิได้แต่งตั้งรัฐมนตรีเศรษฐกิจ ซึงก็ยังจะต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาจึงจะปฏิบัติหน้าที่ได้

เข้าใจว่านายทรัมต้องการมาปฏิเสธข่าวว่ากระบวนการแสวงหาผู้ข้ามารับตำแหน่งสำคัญในคณะรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการถ่ายโอนอำนาจของเขานั้นมิได้มีปัญหาวุ่นวายดังที่สื่อรายงานออกมาเป็นระยะๆ โดยกล่าวว่า “our transition team is working very smoothly and effectively” แต่ถือโอกาสตอกย้ำว่าเขาจะออกหนังสือแจ้งเจตนารมณ์ที่รัฐบาลสหรัฐจะถอนตัวจากข้อตกลงทีพีพีในทันทีที่เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเขาอธิบายว่าเป็น “a potential disaster for our economy” ผู้ที่ติดตามเรื่องนี้มาโดยตลอดจะรู้ว่าสหรัฐเป็นตัวตั้งตัวตีในการกำหนดทิศทาง และสาระของทีพีพีในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์กับสหรัฐมากที่สุด ในส่วนของการนำเอาภูมิภาคที่มีศักยภาพในการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก คือเอเชียแปซิฟิกมาเปิดตลาดให้กับสหรัฐในหลายมิติกล่าวคือไม่ใช่การค้าขายสินค้าเพียงอย่างเดียวแต่ขยายไปถึงการบริการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา การคุ้มครองการลงทุนของต่างประเทศ ฯลฯ โดยสหรัฐยินยอมเปิดตลาดสินค้าของตนให้เป็นข้อแลกเปลี่ยน นอกจากนั้นการวางกฎเกณฑ์การค้าระหว่าประเทศที่ก้าวหน้าไปจากกฎเกณฑ์ปัจจุบันภายใต้กรอบพหุภาคีขององค์กรการค้าโลกนั้น สหรัฐยังมองว่าจะเป็นการสร้างอำนาจต่อรองให้กับสหรัฐและภาคีอื่นๆ ของทีพีพีในการไปเจรจาขยายตลาดที่ไม่ได้เป็นภาคีของทีพีพี เช่น จีน อินเดียและประเทศในทวีปยุโรป

ดังนั้น ประธานาธิบดีโอบามาจึงได้พยายาม “ขาย” หรือเรียกร้องเสียงสนับสนุนภายในสหรัฐว่าทีพีพีเป็นเครื่องมือสำคัญของสหรัฐในการเขียนกฎเกณฑ์การค้าระหว่างประเทศเพื่อให้สหรัฐไม่เสียเปรียบจีนในภูมิภาคเอเชีย นักธุรกิจสหรัฐที่ทำธุรกิจในจีนก็ยังสนับสนุนทีพีพีอย่างเต็มตัว ทั้งๆ ที่จีนไม่เป็นภาคีทีพีพี เพราะเชื่อว่าทีพีพีจะกดดันให้จีนต้องเปิดเสรีการค้าตามแนวทางของทีพีพีอีกด้วย

ตรงกันข้ามเมื่อนายทรัมล้มทีพีพีจึงทำให้จีนกลายเป็นแกนนำในการประกาศยึดมั่นการเจรจาเพื่อส่งเสริมการค้าเสรีในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกแทนสหรัฐต่อไป ตรงนี้ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเป็นข้อผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของนายทรัมที่มองไม่เห็นประโยชน์ของทีพีพี ทั้งในส่วนของการพัฒนาขับเคลื่อนระบบการค้าแบบพหุพาคีและในส่วนที่จะเป็นประโยชน์กับสหรัฐในการขยายธุรกิจในต่างประเทศและการรักษาสถานะความเป็นผู้นำของสหรัฐทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

แต่เราอาจไม่ได้เข้าใจอย่างลึกซึ่งเพียงพอว่าแนวนโยบายของนายทรัมนั้นกำลังจะเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 70 ปี หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสหรัฐเป็นแกนนำในการสร้างระบบการค้าพหุภาคี หรือ multilateral trading system ซึ่งอาศัยการก่อตั้งแกตต์ (General Agreement on Tariff and Trade) โดยต่อมาเปลี่ยนมาเป็นองค์กรการค้าโลก (World Trade Organization)

ทั้งนี้ หลักการที่เป็นหัวใจของระบบการค้าพหุภาคีคือ most favored nation treatment (MFN) หรือการประติบัติเยี่ยงชาติที่ได้รับอนุเคราะห์ยิ่ง ตรงนี้แปลไทยเป็นไทยว่าเมื่อประเทศ ก ลดภาษีศุลกากร สินค้า A ให้กับประเทศ ข และประเทศ ข ลดภาษีสินค้า B ให้กับประเทศ ก เป็นการตอบแทน การลดภาษีศุลกากรสินค้า A และ B ดังกล่าวจะต้องนำไปปฏิบัติกับทุกประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้มีส่วนในการเจรจาดังกล่าวเลย MFN นี้ทำให้การเจรจาการค้าในรอบ 70 ปีที่ผ่านมาส่งผลให้เปิดตลาดการค้าทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนและแม้จะมีข้อยกเว้น เช่นการทำเขตการค้าเสรี ก็จะต้องทำให้กว้างขวางที่สุด (เขตการค้าขนาดใหญ่เช่นสหภาพยุโรป) โดยคาดหวังว่าจะขยายขอบเขตไปครอบคลุมสมาชิก WTO ทั้งหมดในที่สุด

ดังนั้นเมื่อนายทรัมประกาศว่าเขาจะประกาศให้สหรัฐถอนตัวจากทีพีพี จึงมีความสำคัญมาก แต่ที่สำคัญกว่าคือการประกาศว่าสหรัฐจะเจรจากับประเทศคู่ค้าเป็นรายประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อตกลงการค้าแบบทวิภาคีที่เป็นธรรม เพื่อนำงานและอุตสาหกรรมกลับมาที่สหรัฐ (negotiate fair bilateral deals that bring jobs and industry back) ตรงนี้หากมองในแง่สุดโต่ง แปลว่า นายทรัมจะปฏิเสธหลักการ MFN ซึ่งเป็นกรอบกติกาหลักขององค์กรการค้าโลก ดังนั้นจึงจะเป็นการปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าครั้งสำคัญที่สุดในรอบ 70 ปี ดังที่ผมกล่าวข้างต้น

นายทรัมอาจมองอย่างง่ายๆ ว่า เนื่องจากสหรัฐนำเข้าสินค้าจากจีนปีละเกือบ 5 แสนล้านเหรียญ แต่ส่งออกสินค้าเพียงปีละ 1 แสนล้านเหรียญ เขาจะเจรจาเพื่อเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขอย่างไรก็ได้ โดยมุ่งหวังว่าจะลดการผลิตหรือประกอบชิ้นส่วน โดยบริษัทสหรัฐ (เช่น Apple) ในจีน เพื่อนำกลับมาขายในตลาดสหรัฐ ดังนั้นการเจราตัวต่อตัวกับจีนจึงอาจมีวัตถุประสงค์ให้บริษัทสหรัฐนำเอา “งาน” กลับมาให้คนสหรัฐทำด้วยใจจริง ทั้งนี้โดยนายทรัมอาจคิดว่าเขาได้สร้างเงื่อนไขที่เอื้ออำนวยกับบริษัทสหรัฐแล้ว คือข้อเสนอที่จะลดภาษีรายได้นิติบุคคลลงจาก 35% เป็น 15%
[/size]



ตอบกลับโพส