ลางหายนะของหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ลางหายนะของหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ต.ค. 29, 2017 5:22 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ในช่วงเร็ว ๆ  นี้เราเริ่มเห็นหุ้นที่มีราคาและมูลค่าตลาดสูงตกลงมาอย่างรวดเร็วจนบางครั้งก็กลายเป็น  “หายนะ”  มูลค่าหุ้นอาจจะตกลงมาเกินครึ่ง  บางตัวตกเกิน 70-80% ในเวลาอันสั้น   หุ้นบางตัวนั้น  ก่อนที่จะตกลงมาอาจจะถูกมองว่าเป็น  “ซุปเปอร์สต็อก” ในสายตาของ “เซียน” และนักวิเคราะห์จำนวนไม่น้อย  ช่วงที่สูงสุดนั้นหุ้นมี Market Cap. เป็นแสนล้านบาทและผู้บริหารพูดว่าจะโตไปอีกหลายเท่าในเวลาไม่กี่ปี  แต่ภายในเวลาไม่กี่เดือนกลับเหลือมูลค่าแค่หมื่นกว่าล้านบาทอย่าง  “ไม่คาดคิด”  แต่ความจริงก็คือ  ผมคิดมานานแล้วว่าวันหนึ่งเหตุการณ์นี้ก็น่าจะต้องเกิดขึ้น  เพราะเมื่อวิเคราะห์ดูถึง “พื้นฐาน” ที่ควรจะเป็นตามขนาดของธุรกิจและความสามารถในการทำกำไร “ตามธรรมชาติ”  นั้น  ผมคิดว่าหุ้นไม่ควรมีมูลค่าถึงแสนล้าน  แม้แต่ห้าหมื่นล้านบาทก็ดูเหมือนจะมากเกินไปในความคิดของผม  ผมเองไม่คิดว่าตนเองมีความสามารถในการวิเคราะห์ราคาหรือมูลค่าที่แท้จริงได้ถูกต้อง  แต่ในกรณีที่  “ผิดปกติมาก” นั้น  มันก็เป็นเรื่องที่ง่ายที่จะคาดการณ์ว่าหุ้นจะวิ่งไปทางไหนและมากน้อยเท่าไร

    ผมอยู่ในตลาดหุ้นมานานและติดตามพฤติกรรมของหุ้นต่าง ๆ  มากมาย  หุ้นที่กลายเป็น  “หายนะ”  ในเวลาอันสั้นนั้น  มักมีสัญญาณหรือพฤติกรรมบางอย่างหรือหลายอย่างประกอบกัน  ปัจจัยที่แทบทุกตัวเหมือนกันก็คือ  ราคาหรือมูลค่าหุ้นนั้น  “สูงมาก”  ตัวชี้วัดอย่างหนึ่งก็คือค่า PE มักจะสูงลิ่วเช่น PE เกิน 50 เท่าเป็นต้น  แต่นี่ก็แน่นอนว่าไม่ใช่ประเด็นเดียว  หุ้นบางตัวค่า PE ก็อาจจะไม่ได้สูงขนาดนั้นแต่ก็เกิด “หายนะ” ได้  และหุ้นที่มีค่า PE เกิน 50 เท่าบางตัวก็อาจจะไม่เกิดหายนะได้เช่นกัน

    อาการหุ้นที่ในที่สุดอาจจะเกิดหายนะนั้นก็คือ  ผู้บริหารมักจะ  “คุยโม้”  มากเกินไป   พวกเขามักจะคุยว่าจะโตเร็วและมากในช่วงเวลาอันใกล้  ถ้าเบาหน่อยก็จะพูดแค่ว่ายอดขายจะโตเป็นกี่เท่าในเวลากี่ปี  ที่มากขึ้นมาก็คือกำไรของบริษัทจะโตขึ้นเป็นกี่เท่าและที่หนักที่สุดก็คือ  มูลค่าหุ้นหรือ Market Cap. จะโตขึ้นเท่าไรในระยะเวลาอันใกล้  เช่นเดียวกัน  ไม่ใช่ว่าบริษัทที่ผู้บริหารพูดอย่างนั้นทุกบริษัทจะเกิดหายนะของราคาหุ้น  แต่การคุยโม้มากเกินไปก็เป็นสัญญาณที่ผมเคยพบและเมื่อได้ยินก็จะวิเคราะห์ดูว่าเขาพูดเพื่ออะไร?  และจะเริ่มสงสัยมากขึ้นถ้าราคาหุ้นของบริษัทกำลังวิ่งขึ้นและ Market Cap. สูงอย่าง  “ผิดสังเกต”

    หุ้นที่มี Volume หรือปริมาณการซื้อขายที่สูง “ผิดปกติ” และราคาหุ้นมักจะปรับตัวขึ้นหรือลงแรงเช่น วันละหลายเปอร์เซ็นต์  บางวันขึ้นไปเกือบ 10% หรือลงแรงในระดับใกล้เคียงกันโดยที่ไม่ได้มีข่าวอะไรใหม่ที่น่าสนใจก็เป็นอาการอย่างหนึ่งว่าหุ้นตัวนั้นมีการเก็งกำไรสูงมากและอาจมีคนที่เข้ามา “จัดการดูแลหุ้น” ก็เป็นหุ้นที่ต่อมาเกิด “หายนะ”  มากกว่าหุ้นที่ไม่ได้มีอาการแบบนั้น

    บริษัทที่มีการลงทุนสูงมากใน “ธุรกิจใหม่”  หรือในธุรกิจเดิมแต่ในสถานที่ใหม่ที่บริษัทไม่คุ้นเคยเช่นในต่างประเทศมักจะมีโอกาสที่จะเกิดหายนะมากกว่าบริษัทที่ไม่ได้ทำอย่างนั้น   เหตุผลนั้นนอกจากเกิดจากความล้มเหลวของตัวธุรกิจที่บริษัทไม่มีความสามารถและประสบการณ์พอแล้ว  ยังอาจจะเป็นเพราะว่าผู้บริหารมีความตั้งใจที่จะใช้การลงทุนนั้นเพื่อเป็นการฉ้อฉลไซฟ่อนเงินหรือใช้ในการแต่งบัญชีให้บริษัทมีรายได้และกำไรที่ดีเยี่ยมเพื่อที่จะสร้างราคาหุ้นและทำกำไรจากหุ้นที่มีราคาวิ่งขึ้นสูงลิ่วก็เป็นได้

    ต่อจากเรื่องของการลงทุนทำธุรกิจในปริมาณที่สูงมากก็คือ  การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจและ/หรือเจ้าของและผู้บริหาร   นี่ก็เป็นกรณีที่ผมเห็นว่ากลายเป็น “หายนะ” จำนวนไม่น้อย   เหตุผลก็คือ  หลาย ๆ  บริษัทนั้นเกิดขึ้นเนื่องจากธุรกิจเดิมตกต่ำลงมากจนบริษัทอาจจะทำต่อไปไม่ได้แล้ว  ราคาหุ้นก็ตกต่ำลงมากจนแทบไม่มีค่า   ดังนั้น  การ “ฟื้นฟู” หรือ “Turnaround”  จึงต้องอาศัยธุรกิจใหม่ที่มีความเป็นไปได้หรือมีโอกาสสูงที่จะทำกำไรได้ในสายตาผู้บริหารใหม่  อย่างไรก็ตาม  ธุรกิจใหม่อาจจะล้มเหลวเนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ  ซึ่งทำให้ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นไปสูงมากก่อนหน้านั้นตกลงมาอย่างหนักเหลือราคาเท่าเดิม  กลายเป็น “หายนะ” ของหุ้นที่ “ไม่ Turnaround”

    กิจการที่ใช้เงินกู้สูงมากโดยเฉพาะในกรณีที่ใช้เงินกู้หรือตราสารหนี้ผิดประเภท  เช่น การออกตั๋ว BE ในวงเงินที่สูงเพราะหวังที่จะจ่ายดอกเบี้ยต่ำหรือต้องการหลีกเลี่ยง  “การตรวจสอบเครดิต” โดยผู้ซื้อตราสารเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่มีโอกาสเกิดหายนะมาก  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือในกรณีที่กิจการของบริษัทเป็นการขายสินค้าที่มีความผันผวนของรายได้และกำไรสูง   เมื่อเกิดปัญหาการชำระหนี้ก็ทำให้คนเกรงว่าบริษัทจะล้มละลาย  ดังนั้น  ราคาหุ้นก็อาจจะตกลงมาแรงมากจนเกิด “หายนะ”

    บริษัทที่ผู้สอบบัญชีมีข้อสังเกตหรือมีหมายเหตุที่ “น่ากลัว” เพราะเป็นเรื่องที่มาจากหรือเกี่ยวข้องกับบริษัทโดยตรงที่มีนัยสำคัญ  ไม่ใช่ภาวะเศรษฐกิจหรือกฎเกณฑ์ทั่ว ๆ  ไป  ก็เป็นหุ้นที่มีโอกาสเกิดหายนะได้มากกว่าบริษัทที่มีงบการเงินที่ “สะอาด”  ยิ่งมีข้อสังเกตที่ซับซ้อนก็ต้องยิ่งระวังว่ามันอาจจะมีอะไรที่ไม่ดีซ่อนอยู่และเมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นก็อาจจะทำให้นักลงทุนขาดความเชื่อถือในความโปร่งใสของผู้บริหาร  และนั่นสามารถนำไปสู่การเทขายหุ้นทำให้เกิดหายนะได้  พูดถึงเรื่องนี้ผมเองคิดว่าตลาดหลักทรัพย์ควรที่จะให้บริษัทรายงานสรุปงบการเงินโดยการเพิ่มเติมข้อสังเกตและหมายเหตุให้นักลงทุนทราบทุกครั้งด้วยเพื่อที่จะเป็นการ “เตือน”  ให้รู้ว่าข้อมูลงบการเงินนั้นอาจจะมีปัญหาได้ในภายหลังซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนระมัดระวังในการลงทุน  เพราะบ่อยครั้ง  คนไม่ค่อยได้ดูงบเต็มที่ยืดยาวและมักจะเข้าใจยาก

    สุดท้ายที่อาจจะเป็นลางของการหายนะก็คือหุ้นที่ขาย “Story” หรือเรื่องราวมากเมื่อเทียบกับความเป็นจริงของผลประกอบการปัจจุบัน   นี่คือหุ้นที่มี  “อนาคตที่ยิ่งใหญ่” ที่ผู้บริหารพร่ำบอกกับนักลงทุนที่เชื่อว่าบริษัทจะสามารถทำได้  ซึ่งก็ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปสูงมากอย่างต่อเนื่อง    แต่เมื่อเวลาผ่านไป “อนาคต” นั้นก็ยังไม่เกิดขึ้น  การเลื่อนความสำเร็จออกไปเรื่อย ๆ  จนถึงวันหนึ่งที่นักลงทุนเริ่มขาดความเชื่อมั่นก็จะทำให้หุ้นกลายเป็นหายนะได้

    โดยปกติ  การหายนะของหุ้นมักจะใช้เวลานานพอสมควรหลังจากที่มี  “ลางหายนะ”   คร่าว ๆ ผมคิดว่าน่าจะอย่างน้อย 2-3 ปีขึ้นไปแต่ก็มักจะไม่เกิน 5 ปี   ในระหว่างนั้น  หุ้นก็มักจะอยู่ในช่วง  “ขาขึ้น”  และมีความคึกคักมีคนสนใจต่อเนื่องพร้อม  ๆ  กับปริมาณการซื้อขายหุ้นที่สูงกว่าปกติ   แน่นอน  การปรับตัวลดลงเกิดขึ้นตลอดเวลา  บางครั้งก็แรง  แต่พอ “เผลอ ๆ”  หุ้นก็ปรับตัวขึ้นไปใหม่โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างคึกคัก  ราคาหุ้นนั้นดูเหมือนว่าจะขึ้นไปสูงจนบางที  “ไม่น่าเชื่อ” ว่าทำไมจึงมีคนจะซื้อในราคานั้น   พวกเขาคิดอย่างไรจึงกล้าที่จะจ่ายเงินซื้อในราคาที่บางคนบอกว่า  “ร้อยปีคืนทุนหรือห้าสิบปีคืนทุน”  เราคงไม่รู้คำตอบของแต่ละคน   คนอาจจะคิดว่าเขาไม่ได้ซื้อเพื่อรอคืนทุน  แต่เขาอาจจะซื้อเพราะเชื่อว่าพรุ่งนี้หรือปีหน้าราคาหุ้นจะวิ่งขึ้นไปอีก  คนส่วนใหญ่คงไม่ได้คิดถึง  “หายนะ”  ที่หุ้นอาจจะตกลงไป 50% หรือ 70% หรือมากกว่านั้น  หรือถ้าเกิด  เขาก็คิดว่าจะ  “Cut loss”  หรือขายหุ้นทิ้งก่อนที่มันจะตกลงมาจนกลายเป็นหายนะ  อย่างไรก็ตาม  ประวัติศาสตร์สอนเราเสมอว่า  หายนะอาจจะเกิดขึ้นเร็วมากจนขายหุ้นไม่ทัน  หรือบางทีคนที่ถือหุ้นอยู่ก็ไม่ขายเพราะคิดว่ามันไม่ใช่หายนะแต่จะกลับขึ้นมาใหม่จนทำให้สายเกินการณ์   ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ความเสียหายมักจะใหญ่หลวงเทียบกับการได้กำไรจากหุ้นที่มีลางแห่งหายนะรออยู่
[/size]



ตอบกลับโพส