ICO (Initial Coin Offering)/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ICO (Initial Coin Offering)/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ ก.พ. 04, 2018 6:16 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    นวัตกรรมการเงินล่าสุดเกี่ยวกับการระดมเงินผ่าน “เหรียญ” ที่บริษัทหรือเจ้าของโครงการ  “เขียน”  ขึ้นมา  หรือที่เรียกเป็นทางการว่า Initial Coin Offering หรือ ICO นั้น  ทำให้ผม “ทึ่ง” และ  “งง” แต่ก็จำเป็นต้องทำความเข้าใจกับมันเหมือนกันแม้จะคิดว่าตนเองคงไม่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย  เหตุผลก็คือ  มันคงอยู่กับเราไปเรื่อย ๆ เหมือนกับเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ  เช่น บิทคอย  เป็นต้น

    ICO ที่ออกมานั้น  ส่วนใหญ่น่าจะออกมาเพื่อระดมเงินให้บริษัทหรือโครงการสตาร์ทอัพเพื่อทำโครงการใหม่ ๆ  ในเรื่องของไฮเท็คและดิจิตอล  กระบวนการก็คือ  บริษัทจะออก “เหรียญ” โดยอาศัยระบบบล็อกเชนที่จะทำให้สามารถควบคุมไม่ให้มีใครรวมถึงคนผลิตครั้งแรกทำเหรียญปลอมหรือเพิ่มเหรียญใหม่ขึ้นมาโดยไม่มีกฎเกณฑ์  เหรียญที่ว่านี้จะถูกขายให้กับคนที่สนใจจะซื้อลงทุนเป็นครั้งแรก  โดยที่เหรียญนี้จะมีสิทธิบางอย่าง เช่น การมีสิทธิที่จะเป็นเจ้าของโปรเจ็คบางส่วนหรือได้ลิขสิทธิหรือสิทธิพิเศษบางอย่างในโครงการนั้นถ้ามันประสบความสำเร็จและทำเงิน  ถ้าไม่สำเร็จ  เหรียญก็มักจะไม่มีค่าอะไรแม้แต่จะเก็บไว้เป็นที่ระลึก  เพราะเหรียญนี้ที่จริงก็เป็นแค่ตัวเลข  “ในจินตนาการ”   คนที่ถือเหรียญนี้ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นที่จะมีสิทธิควบคุมหรือรับปันผลจากบริษัทเหมือนอย่างการทำ IPO ที่คนจ่ายเงินซื้อจะได้เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ออก

    ดูจากโครงสร้างและสิทธิของเหรียญแล้วก็อาจจะมองว่ามันไม่ค่อยยุติธรรมเสียเลยกับคนที่ซื้อ  แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยต่างก็แห่กันซื้อเหรียญจากคนที่ออก  เหตุผลสำคัญก็คือ  เหรียญที่ออกมาก่อนหน้านี้  เช่น บิทคอยและอีเธอเรียมที่เป็น Cryptocurrency หรือ “เงินดิจิตอล”  ที่เป็น “เงินรุ่นใหม่”ของโลกและเป็นเหรียญที่มีคุณสมบัติแบบเดียวกันนั้น  มีราคาวิ่งขึ้นไปเป็นหมื่นเป็นแสนเท่าในเวลาไม่กี่ปีและทำให้คนโดยเฉพาะที่เป็นนักเก็งกำไร  “คลั่งเหรียญ”  ไปทั้งโลก

    มองในแง่ของหลักการแล้ว  ICO นั้นจะคล้าย ๆ  กับ Venture Capital ที่เป็นการระดมเงินเพื่อใช้ในการพัฒนาหรือก่อตั้งธุรกิจใหม่ ๆ  โดยเฉพาะที่เป็นธุรกิจไฮเท็คหรือดิจิตอลที่มีความเสี่ยงสูงมากเช่นเดียวกับผลตอบแทนที่สูงมากเช่นกันถ้าธุรกิจประสบความสำเร็จ  ดังนั้น  ธุรกิจเวนเจอร์แค็ปปิตอลจึงเน้นไปที่นักลงทุนที่มีความรู้และความเข้าใจในธุรกิจเหล่านั้นและบ่อยครั้งผู้บริหารของเวนเจอร์แค็ปต้องเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไปช่วยบริษัทที่เข้าไปลงทุน  นั่นเป็นข้อแรก  ข้อสอง  เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงที่ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มหรือยังไม่ได้เริ่มเลยจะล้มละลาย  นักลงทุนที่เป็นเวนเจอร์แค็ปจึงต้องเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สามารถรับความเสี่ยงแบบนั้นได้  และสาม  เขาจะต้องกระจายความเสี่ยงโดยการลงทุนในกิจการหลาย ๆ  อย่างเพื่อที่ว่าจะมีบางกิจการประสบความสำเร็จและสามารถสร้างผลตอบแทนมหาศาลชดเชยกับบริษัทส่วนใหญ่ที่เจ๊งได้  และข้อสุดท้ายก็คือ  การลงทุนในเวนเจอร์แค็ปจะต้องใช้เวลากว่าที่จะได้ผลตอบแทน  โดยทั่วไปน่าจะยาวนานเป็น 10 ปีขึ้นไปเนื่องจากกว่าธุรกิจจะสำเร็จและเติบโตมักจะต้องใช้เวลายาวนานไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป  และผลตอบแทนที่ได้ส่วนใหญ่ก็มาจากการนำบริษัทนั้นเข้าจดทะเบียนซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์โดยการทำ IPO

    ในกรณีของ ICO นั้น ดูเหมือนว่ากระบวนการทั้งหมดที่กล่าวถึง  นั่นคือการระดมเงิน  การใช้เงินเพื่อพัฒนาธุรกิจหรือผลิตภัณฑ์  และการนำบริษัทเข้าไปซื้อขายใน “ตลาด”  เพื่อที่จะทำกำไรหรือผลตอบแทนนั้น  ถูกย่นย่อเวลาลงมาเหลือระยะเวลาที่สั้นมาก  อาจจะเป็นแค่เดือนสองเดือนไม่ใช่ 10 ปี  บ่อยครั้งมันไม่ต้องการเวลาที่จะพิสูจน์ด้วยซ้ำว่าธุรกิจหรือโครงการนั้นประสบความสำเร็จแล้ว  ขอให้มีสตอรี่และคนเชื่อว่ามันจะสำเร็จประกอบกับความร้อนแรงของ “ตลาดเหรียญ”  ราคาของเหรียญก็อาจจะวิ่งขึ้นไปได้หลาย ๆ  เท่าแล้ว  หรือไม่ก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีเรื่องราวอะไรเลยก็ได้  ขอให้มีคนมาเล่นหรือมาปั่นและรายย่อยเข้ามาเล่นตาม  ราคาก็อาจจะ “ทะลุฟ้า” ไปได้เช่นกัน  และที่อาจจะเป็นอย่างนั้นได้ก็เพราะว่าในตลาดหรือธุรกิจของ ICO นั้น  ยังไม่มีหน่วยงานรัฐมาควบคุม  มันยังไม่มีกฎหมายมารองรับ   มันไม่ใช่เงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย    มันไม่ใช่หลักทรัพย์ที่จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของ กลต.   ว่าที่จริงผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่ามันเป็น “ทรัพย์สิน” ตามกฎหมายหรือไม่  ดังนั้น  ถ้ามีกรณีของการ “ปั่นเหรียญ”  มีคนได้กำไรด้วยการปั่นและคนขาดทุนเพราะหลงคิดว่าราคามันจะขึ้น  กฎหมายก็อาจจะทำอะไรไม่ได้

    เวนเจอร์แค็ปนั้น  ถ้าจะขาดทุนก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะพวกเขาเป็นคนที่มีเงินมากและเป็นคนที่  “รอบรู้” ว่าอะไรคือความเสี่ยง  แต่ในกรณีของ ICO นั้น  ไม่มีกฎหมายที่จะห้ามไม่ให้นักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อขายเหรียญ  ความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการฉ้อฉลหรือการปั่นราคาของรายใหญ่นั้น  ใครจะรับผิดชอบ?

    มองจากมุมของผู้ประกอบการเองนั้น  การใช้เครื่องมือของ ICO ดูเหมือนว่าจะสะดวกและได้เปรียบกว่าการหาเวนเจอร์แค็ปมาร่วมลงทุนในโครงการที่เสี่ยงและไม่แน่นอนอยู่มากและถ้าไม่ดีจริงก็อาจจะหาคนมาร่วมลงทุนไม่ได้  แต่การออกเป็นเหรียญมาแลกเงินโดยการทำ ICO นั้น  สะดวกรวดเร็วและมีค่าใช้จ่ายต่ำเพราะเขาไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือปันผลหรือต้องคืนเงินต้น  นอกจากนั้น  เขาไม่ต้องถูกควบคุมด้วยคนที่เอาเงินมาให้  และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  เขามีโอกาสรวยอย่างรวดเร็วแม้ว่าโครงการอาจจะล้มเหลวในภายหลัง  เหตุก็เพราะเขาสามารถขายเหรียญในส่วนของตัวเองได้ตั้งแต่วันแรกที่ระบบการซื้อขายเหรียญเริ่มทำงาน  ราคาของเหรียญเองนั้นก็มักจะไม่ได้สะท้อนถึง  “พื้นฐาน” ทางเศรษฐกิจของเหรียญเพราะเหรียญเองก็ไม่ได้สร้างกระแสเงินสดเป็นรายปี  ราคาเหรียญจะสูงหรือต่ำขึ้นอยู่กับความต้องการของคนที่เข้ามา  “เก็งกำไร” รายวัน   ดังนั้น  สำหรับคนออกเหรียญแล้ว  ทุกอย่างมีแต่จะได้  ขอให้มีคนซื้อก็พอ

    ในด้านของคนที่จองซื้อเหรียญในวันทำ ICO เองนั้น  ผมเชื่อว่าด้วยภาวะของตลาด  ทั้งในด้านของตลาดหลักทรัพย์และตลาดของเหรียญที่คึกคัก  ก็น่าจะมีคนจองจนล้น  เพราะขนาดและคุณสมบัติของเหรียญนั้นเอื้ออำนวยต่อการเก็งกำไรมาก  มีโอกาสที่ขาใหญ่ทั้งหลายอาจจะเข้ามาเล่นกันมาก  และถ้าคนทั่วไปเชื่ออย่างนั้น  พวกเขาก็จะต้องเข้ามาจองจนล้น  และเมื่อจองจนล้นคนก็เชื่อว่าวันแรกที่มีการซื้อขายราคาก็จะต้องวิ่งขึ้นไป  และดังนั้นคนจำนวนมากก็จะเข้ามาซื้อเหรียญตั้งแต่นาทีแรกที่เปิดการซื้อขาย  ราคาก็วิ่งขึ้นไปมากมายและก็ไม่มีใครบอกได้ว่าแพงหรือถูก  มันก็จะกลายเป็นเครื่องมือในการเก็งกำไรสมบูรณ์แบบ  และในที่สุดก็จะต้องมีคนที่กำไรสูงมากและคนที่ขาดทุนสูงและจำนวนมากเช่นกัน  ในกรณีที่เลวร้าย  เรื่องก็จะกระจายออกไปในวงกว้าง  และวันนั้นความเสียหายก็จะเกิดขึ้นกับเครื่องมือที่เรียกว่า ICO ในประเทศไทย   ภาพทั้งหมดนั้นผมเองไม่อยากจะให้เกิด  เพราะ ICO นั้นแม้ว่าผมจะไม่ได้สนใจลงทุนด้วยตัวเองแต่มันก็น่าจะมีประโยชน์โดยเฉพาะต่อการพัฒนาของธุรกิจสตาร์ทอัพที่ต้องการการสนับสนุนทางการเงินที่ “กล้าเสี่ยง” มากกว่าปกติ

    ผมคิดว่าเราไม่สามารถปฏิเสธเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ  ในยุคดิจิตอลได้  แต่เราไม่จำเป็นต้องรีบมีทั้ง ๆ  ที่ยังไม่พร้อม  ในหลาย ๆ  ประเทศเช่นเกาหลีมีการออกกฎห้ามทำ ICO อย่างสิ้นเชิงและมีโทษรุนแรงสำหรับผู้ฝ่าฝืน  ในจีนเองนั้นรัฐบาลออกกฎห้ามออก ICO และให้ผู้ที่ออกไปแล้วคืนเงินให้กับนักลงทุนนับแสนคนคิดเป็นเงินนับหมื่นล้านบาท  แต่นี่เป็นการห้ามชั่วคราวจนกว่าจะมีนโยบายและกฎเกณฑ์ที่ชัดเจน  ผมเองคิดว่าประเทศไทยเองก็ควรจะรอให้พร้อม  นั่นคือมีกฎเกณฑ์ที่จะควบคุมไม่ให้เกิดความเสียหายโดยเฉพาะในกรณีที่มีการ “ฉ้อฉล”  และการป้องกันความเสี่ยงให้กับนักลงทุนรายย่อยที่อาจจะไม่รู้ว่าเหรียญที่ออกมาขายนั้นจริง ๆ  มันจะให้ผลตอบแทนอย่างไรถ้าไม่มีคนมาซื้อต่อ  ซึ่งก็มีโอกาสเกิดขึ้นมากถ้าไม่มีกฎหมายบังคับและลงโทษ  ว่าที่จริง  ผมเองก็ยังงง ๆ  ว่าตกลงคนที่ถือเหรียญที่ขายผ่าน ICO นั้น  มีสิทธิอะไรถ้าไม่ได้มีกฎหมายกำหนดไว้?  สิทธินั้น  ถ้ามี  ใครเป็นคนรับรอง?  และถ้ามีคนรับรองแล้วเขา “เบี้ยว”  เราฟ้องเขาได้ไหม?  ผมคงต้องจบแค่นี้  เพราะยิ่งถามมากก็คงจะยิ่งสับสน  และนี่ก็คงเป็นเหตุผลสำคัญที่ผมไม่สนใจที่จะลงทุนเลย  ลึก ๆ  แล้วผมคิดว่ามีโอกาสที่เรื่องจะ “จบลงแบบไม่สวย” อย่างที่บัฟเฟตต์เคยพูดถึงบิทคอยเมื่อปลายปีที่แล้วตอนราคา 20,000 เหรียญ ซึ่งวันนี้ภายในเวลาไม่กี่เดือนมันตกลงมาเหลือเพียง 8,000 เหรียญ
[/size]



ตอบกลับโพส