เรียนรู้จากอิเกีย (2)/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

เรียนรู้จากอิเกีย (2)/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » อังคาร ก.พ. 13, 2018 10:16 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    ในสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้เขียนถึงปรัชญาในการทำธุรกิจของอิเกีย ที่คุณดาห์วิก อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทได้เขียน ในหนังสือชื่อ  The IKEA Edge  และได้เกริ่นเอาไว้ว่า คุณปู่อิงวาร์ คัมปราด ผู้ก่อตั้งอิเกียได้วางวิสัยทัศน์ของบริษัทให้มีความรับผิดชอบต่อสังคม และเมื่อมีมืออาชีพมาบริหารงาน ก็ได้สืบทอดความรับผิดชอบต่อสังคมต่อมา

    อิเกียวางวิสัยทัศน์ และเป้าหมายของบริษัทว่า จะผลิตเฟอร์นิเจอร์ที่มีแบบดี มีประโยชน์ใช้สอยที่เหมาะสม และขายในราคาที่คนส่วนใหญ่สามารถซื้อหาได้ โดยใช้กระบวนการผลิตและตั้งเกณฑ์ให้ผู้ผลิตสินค้าต้องปฏิบัติในสิ่งที่รับผิดชอบต่อสังคม ไม่เอาเปรียบและไม่ใช้แรงงานเด็ก

    นอกจากนี้ อิเกียยังแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยการทำ CSR ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเด็ก และด้านการศึกษา จนกระทั่งคุณดาห์วิก ได้รับรางวัล Global Social Responsibility Award จาก U.S. Foreign Policy Association และรางวัล Oslo Business for Peace Award

    อิเกีย แบ่งกลุ่มธุรกิจออกเป็นสามกลุ่มใหญ่คือ IKEA Group, Inter IKEA Group และ IKANO Group โดยสองกลุ่มแรก อยู่ภายใต้การดูแลของมูลนิธิ  ส่วนครอบครัวคัมปราด จะดูแลเฉพาะบริษัทในกลุ่มที่สามคือกลุ่ม อิกาโน

    ต้องให้ข้อมูลปูพื้นก่อนค่ะ ว่า อิเกียเป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของประเทศใด ยกเว้นในบางประเทศที่มีกฎหมายบังคับเรื่องการห้ามต่างชาติทำธุรกิจค้าปลีก ก็จะมีการร่วมทุนกับบริษัทในท้องถิ่น เช่น ในประเทศไทย

    กลุ่มอิเกีย (The IKEA Group) ซึ่งประกอบด้วย อิงกา โฮลดิ้ง (Ingka Holding B.V.)ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอิเกีย และบริษัทลูกๆของอิงกา  มีผู้ถือหุ้นเป็นมูลนิธิที่จดทะเบียน ในประเทศเนเธอร์แลนด์ ชื่อ มูลนิธิสติชทิ้ง อิงกา (Stichting Ingka Foundation) ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลัก คือ การบริจาคเงินให้การกุศล เพื่อช่วยสนับสนุนนวัตกรรมในการออกแบบ ทั้งนี้ ผู้ถือหุ้นของสติชทิ้ง อิงกา คือมูลนิธิที่จดทะเบียนในลิชเท่นสไตน์ชื่อ Interogo Foundation ซึ่งถือหุ้น Inter IKEA Group บริษัทดูแลการตลาดผู้ให้สิทธิ์ในการทำร้านอิเกียทั่วโลกในลักษณะฟรานไชส์ด้วย

    ว่ากันว่า การจัดโครงสร้างในลักษณะนี้ นอกจากจะเป็นการวางแผนภาษีแล้ว ยังเป็นการป้องกันการถูกครอบครองจากกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และเป็นวางแผนการจัดสรรกำไรไปใช้เพื่อสังคมส่วนหนึ่งอีกด้วย

    ในปี 2560 ที่ผ่านมา อิเกียมีลูกค้าเข้าไปเยี่ยมร้าน 2,100 ล้านครั้ง มีร้าน 355 ร้าน ใน 29 ประเทศ มีพนักงาน 149,000 คน มีรายได้ 36,295 ล้านยูโร หรือประมาณ 1.45 ล้านล้านบาท โดยมียอดขาย 34,100 ล้านยูโร หรือประมาณ 1.36 ล้านล้านบาท มีกำไรสุทธิ 2,473 ล้านยูโร หรือประมาณ 98,900 ล้านบาท เสียภาษีเงินได้ 800 ล้านยูโร หรือประมาณ  32,000 ล้านบาท และเมื่อรวมอากรนำเข้า และภาษีอื่นๆแล้ว กลุ่มอิเกีย เสียภาษีให้รัฐบาลของประเทศต่างๆทั่วโลกประมาณ 1,300 ล้านยูโร หรือประมาณ 52,000 ล้านบาท

    ปัจจุบันอิเกียมีร้านในทวีปอเมริกาเหนือ 56 ร้าน ทำยอดขาย 19% ของยอดขายรวม ร้านในยุโรป  242 ร้าน ทำยอดขาย 66% ร้านในเอเชีย 33 ร้าน และออสเตรเลีย 10 ร้าน ทำยอดขาย 11% และร้านในรัสเซีย 14 ร้าน ทำยอดขาย 4% เป้าหมายต่อไปคือ เปิดร้านในอินเดีย ในฤดูใบไม้ผลิที่จะถึงนี้ค่ะ

    แม้จะไม่ได้ควบคุมการตลาดและธุรกิจฟรานไชส์ในนามอิเกีย แต่สมาชิกในครอบครัวของคุณปู่อิงวาร์ก็ถือหุ้น และได้รับเงินปันผลจากบริษัท IKANO Group ซึ่งทำธุรกิจการผลิตสินค้า ดูแลการค้าปลีกบางร้าน ดูแลอสังหาริมทรัพย์ (ที่เป็นที่ตั้งของร้าน) และบริหารเงิน  ทั้งยังเป็นที่ปรึกษาและกรรมการของมูลนิธิทั้งสอง ซึ่งเมื่อธุรกิจค้าปลีกโต ธุรกิจการผลิตย่อมเติบโตไปด้วย และมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ก็เพิ่มขึ้นด้วย

    ดังนั้นที่เป็นข่าวว่าทายาทของคุณปู่ไม่ได้รับมรดกสักเท่าไร ก็ไม่น่าจะจริงนะคะ อาจจะไม่ได้รับมรดกในส่วนที่เป็นร้านค้า และค่าธรรมเนียมจากฟรานไชส์ เพราะไปอยู่ในการดูแลของมูลนิธิ แต่ก็ได้รับจากธุรกิจโรงงานผลิตและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงมีเงินทุนที่จะต้องบริหารจัดการมากมายใน IKANO Group ค่ะ

    กลับมาถึงสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากอิเกียในเรื่องการจัดการธุรกิจค้าปลีกในโลก คุณดาห์วิก แนะนำว่า หากต้องการขยายธุรกิจออกไปในตลาดโลก ธุรกิจจะต้องสามารถปรับตัวให้นำเสนอในสิ่งที่เข้ากับท้องถิ่นได้ ด้วยความมีเอกลักษณ์ ที่คู่แข่งจากท้องถิ่นไม่สามารถสู้ได้  ราคาต้องแข่งขันได้ โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่  และต้องมีค่านิยมที่สามารถจะเข้าได้กับวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน ต้องมีการวางแผนในการเข้าสู่ตลาด ไม่ใช่เข้าไปเพียงเพื่ออยากจะมีร้านในประเทศนั้นๆ  นอกจากนั้น จำเป็นต้องรับความเสี่ยงและรับได้ว่ากำไรในช่วงแรกอาจจะต่ำ หรืออาจจะไม่มีกำไรเป็นเวลาหลายปี ในตลาดที่จะเพิ่มการเติบโตของเราในอนาคต และท้ายที่สุด หากบริษัทสามารถทำกำไรในประเทศของตนเองเพื่อเป็นฐานทุนได้อย่างแข็งแกร่ง จะทำให้การออกไปต่างประเทศราบรื่นขึ้น

    ข้อคิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจแบบอิเกียที่คุณดาห์วิกสรุปไว้ คือ จะเป็นผู้นำด้านราคาได้ ต้นทุนจะต้องต่ำ และการรักษาต้นทุนที่ต่ำในขณะที่ต้องเพิ่มค่าตอบแทนพนักงานทุกๆปี ต้องมีการเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน หรือการให้บริการลูกค้า

    ท่านที่สนใจรายละเอียด สามารถไปอ่านต่อในหนังสือ The IKEA Edge ได้ค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส