โค้ด: เลือกทั้งหมด
การกลับมาของ มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียในวัย 92 ปีนั้น ต้องถือว่าเป็นปรากฎการณ์สำคัญทางการเมืองของมาเลเซียที่พรรคอัมโนที่เป็นรัฐบาลมาเลเซียมากว่า 60 ปีต่อเนื่องกันต้องมาพ่ายแพ้แก่คนแก่อายุ 92 ปี นี่สำหรับผมแล้วก็ต้องบอกว่า “น่าทึ่ง” และเป็นการบอกอีกอย่างหนึ่งว่าในทางการเมืองแล้ว “อายุเป็นแค่ตัวเลขเท่านั้น” และก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับคนที่จะประสบความสำเร็จเป็น “นักการเมืองที่ยิ่งใหญ่” แต่นอกจากในเรื่องของการเมืองแล้ว ผมก็คิดว่าในเรื่องของการลงทุนเองนั้น อายุก็ไม่เป็นอุปสรรคเช่นเดียวกัน ว่าที่จริง อายุอาจจะเป็นข้อได้เปรียบด้วยซ้ำ เพราะผมดูแล้ว นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของโลกที่เรายอมรับกันนั้น ต่างก็มีอายุมากกันทั้งนั้น และวันนี้เรามาดูกันว่าใครคือ “นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของโลก” ทั้งอดีตและปัจจุบัน
คนที่จะได้รับการยกย่องว่าเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกได้นั้น ผมคิดว่าเขาต้องมีคุณสมบัติบางอย่างดังต่อไปนี้
ข้อแรกก็คือ เขาจะต้องเป็นนักลงทุนที่มีความสามารถสูง ในระยะยาวแล้วสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงเมื่อเทียบกับมาตรวัดที่กำหนดเช่น ถ้าเป็นนักลงทุนในหุ้นก็ต้องเทียบกับดัชนีตลาดหุ้นเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ไม่จำเป็นว่าจะต้องสูงที่สุดหรือสูงลิบลิ่วแม้ว่าคนที่ทำอย่างนั้นได้ก็อาจจะเข้าข่ายเป็นนักลงทุนระดับโลกได้
ข้อสอง เขามักจะต้องเป็น “ผู้นำ” และ “ประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับ” ในแนวความคิดและการลงทุน “ใหม่” ที่ต่อมาได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง นี่ก็มักทำให้คนที่มีทฤษฎีหรือมีความเป็นนักวิชาการเข้าข่ายได้รับการยอมรับว่าเป็นนักลงทุนเอกของโลกได้ง่ายกว่าคนที่ปฏิบัติอย่างเดียว อย่างไรก็ตาม นักวิชาการแท้ ๆ เช่นฟามาหรือนักวิชาการที่ทำงานการลงทุนบ้างอย่างมัลคีลที่เขียนหนังสือ Random Walk Down Wall Street จะไม่ถูกจัดอยู่ในรายชื่อนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ของโลก
ข้อสาม นักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกส่วนใหญ่ก็มักจะมีพอร์ตการลงทุนขนาดใหญ่และมีสถิติที่เปิดเผยหรือใหญ่พอที่จะเป็นที่สังเกตได้ในที่สาธารณะและจากการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญหรือสื่อมวลชนที่มีมาตรฐานสูง
ข้อสี่ก็คือ นักลงทุนเอกของโลกนั้นมักจะเป็นคนที่ “สร้างตนเอง” จากการลงทุน หลายคนหรือส่วนใหญ่นั้น มาจากครอบครัวที่ยากจน แต่ถ้ามาจากครอบครัวที่มั่งคั่งนั้นก็มักจะไม่ได้อาศัยเงินต้นทุนจากทางบ้าน อย่างไรก็ตาม คนที่รวยมาก ๆ อย่างเจ้าชาย Alwaleed แห่งซาอุดิอาระเบียซึ่งบริหารเงินลงทุน Kingdom Holding และประสบความสำเร็จมากนั้น ก็มักจะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ระดับต้น ๆ ของโลกที่ผมจะกล่าวต่อไป
สำหรับผมและน่าจะอีกหลายคนที่จัดอันดับ ผมคิดว่าคนหนึ่งที่ไม่เคยมีใครปฎิเสธว่าต้องเป็น 1 ใน 10 ของนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกก็คือ เบน เกรแฮม เหตุผลนั้นชัดเจน เพราะ เบน เกรแฮม นั้นถือว่าเป็น “ต้นตำรับ” หรือเป็นคนแรกที่วิเคราะห์และประเมินมูลค่าของหลักทรัพย์อย่างเป็นระบบ เป็นฐานในการวิเคราะห์การลงทุน เป็น “บิดา” ของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และการลงทุนแบบ VI ส่วนในเรื่องของการลงทุนเองนั้น แม้ว่าเขาจะไม่รวยนักแต่ก็สร้างผลตอบแทนที่ดีในช่วงอายุของเขา
คนที่สองก็คือ วอเร็น บัฟเฟตต์ นี่คือนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลกในแง่ของขนาดของพอร์ตซึ่งก็มาจากผลการลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดคนหนึ่งของโลกที่ทำได้ถึงประมาณ 20% ต่อปีแบบทบต้นติดต่อกันถึงกว่า 50 ปี ปีนี้ วอเร็น บัฟเฟตต์ ก็อายุ 88 ปีแล้ว เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะยังบริหารเบิร์กไชร์อยู่เมื่อเขาอายุ 92 ปีอย่างมหาเธร์
คนที่สามนั้นผมอยากจะพูดถึงนักลงทุนที่เป็นแนว Growth หรือเน้นการเติบโตที่เป็นที่ยอมรับ เรื่องนี้นักลงทุนในแนว VI และศรัทธาในตัวบัฟเฟตต์อาจจะมองว่า ฟิลิป ฟิสเชอร์ น่าจะถือว่าเป็นนักลงทุนผู้ยิ่งใหญ่ของโลกเพราะบัฟเฟตต์ยกย่องเขามาก แต่มองกว้างขึ้นในระดับโลกแล้ว ผมคิดว่าตำแหน่งน่าจะตกอยู่กับ T. Rowe Price Jr. ซึ่งคนในแวดวงการลงทุนถือว่าเป็นผู้ก่อตั้งหรือ “บิดา” ของการลงทุนแบบ Growth ตัวจริง ส่วนฟิสเชอร์นั้น ที่โดดเด่นดูเหมือนจะเป็นการเขียนหนังสือมากกว่าผลงานการลงทุนจริง ๆ
คนที่สี่ผมคิดว่าเป็น Jesse Livermore ซึ่งเป็นคนที่ “บุกเบิก” การ “เทรดหุ้นและโภคภัณฑ์” และได้ชื่อว่าเป็น “นักเทรดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก” ในช่วงชีวิตของเขานั้น เขาทั้งประสบความสำเร็จและร่ำรวยระดับประเทศและในบางครั้งก็ล้มเหลวล้มละลายและต้องฆ่าตัวตายในที่สุด อย่างไรก็ตาม การเทรดหุ้นหรือหลักทรัพย์ก็ยังเป็นที่ยอมรับและทำกันทั่วโลกถึงปัจจุบัน ดังนั้น ชื่อของเขาก็น่าจะต้องติดอยู่ในทำเนียบนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก 1 ใน 10 คน
คนที่ห้าคือ John Bogle ผู้บุกเบิกการลงทุนแบบ Passive หรือ Index Fund ผ่านบริษัท Vanguard ที่เขาก่อตั้งขึ้นตั้งแต่เมื่อ 40 ปีก่อน ปัจจุบันนี้ก็ต้องถือว่าเป็นกองทุนอิงดัชนีที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จสูงสุด เพราะคนในปัจจุบันยอมรับว่านี่คือกองทุนที่ดีสุดสำหรับประชาชนทั่วไปที่อยากลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้น ชื่อของ Bogle จึงไม่มีทางที่จะหลุดจากการเป็นนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก 10 คนอย่างแน่นอน
คนที่หกผมคงยกให้กับ John Templeton ซึ่งก็คือนักลงทุนคนแรกที่บุกเบิกตลาดต่างประเทศอย่างเป็นเรื่องเป็นราวและประสบความสำเร็จ ในปัจจุบันนี้การลงทุนในต่างประเทศและทั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนเพิ่มนั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติ แต่สมัยกว่า 50 ปีมาแล้วนั้น การที่เทมเปิลตันเริ่มเข้าไปลงทุนในตลาดญี่ปุ่นก็ต้องถือว่าเป็นความคิดที่สร้างสรรค์มาก เซอร์จอห์น เทมเปิลตัน เสียชีวิตตั้งแต่ปี 2008 ขณะอายุได้ 96 ปี ก็ต้องถือว่าเป็นนักลงทุนที่อายุยืนมากอีกคนหนึ่งในยุคของเขา
คนที่เจ็ดนั้นผมคิดว่าน่าจะเป็น Bill Gross ซึ่งบริหารกองทุนพันธบัตรเป็นหลัก บางคนให้ฉายาเขาว่าเป็น “Bond King” หรือราชันแห่งพันธบัตร เขาเคยเป็นผู้บุกเบิกและบริหารกองทุนพันธบัตรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคือ Pimco
คนที่แปดนั้น ผมยกให้ Carl Icahn “นักล่ากิจการ” นักธุรกิจและผู้บริหารเฮดจ์ฟันด์ที่ประสบความสำเร็จสูง บทบาทของเขาในฐานะที่เป็น Activist หรือนักเคลื่อนไหวในตลาดหุ้นนั้น น่าจะช่วยให้บริษัทในตลาดมีระบบ Governance หรือบรรษัทภิบาลที่ดีขึ้น
คนที่เก้าผมยกให้ ปีเตอร์ ลินช์ การที่เขาดังมากนั้น ผมคิดว่าเป็นเพราะผลงานการบริหารกองทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุค 80 คือกองทุน Fidelity Magellan ซึ่งสร้างผลตอบแทนระดับกว่า 30% แบบทบต้นเป็นเวลา 13 ปี ซึ่งในกองทุนใหญ่ระดับนั้นผมไม่แน่ใจว่ามีใครลบสถิติได้หรือยัง อีกอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่าทำให้เขาน่าจะติดอันดับก็คือ การที่เขามีหลักการลงทุนที่คนธรรมดาสามารถเข้าใจและทำได้
นักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนสุดท้ายนั้นผมยกให้ George Soros นักลงทุนที่ใช้ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจทั่วโลกมาลงทุน เขาเกิดปีเดียวกับบัฟเฟตต์และลงทุนมานานและทำผลตอบแทนไม่น้อยกว่าบัฟเฟตต์ตามการประมาณของหลายแหล่งข่าว เช่นเดียวกับความมั่งคั่งมหาศาลของเขา อย่างไรก็ตาม การที่เขาเก็งกำไรค่าเงินของประเทศต่าง ๆ และบางครั้งก่อให้เกิดวิกฤตอย่างเช่นในตลาดไทยในปี 2540 นั้น ทำให้ตัวเขาไม่เป็นที่นิยมมากนักในภาพกว้างระดับโลก หลักการของโซรอสก็คือ พยายามมองหาความ “ไม่สมดุล” ในระบบเศรษฐกิจแล้วทำกำไรจากมัน
ทั้งหมดก็คือการจัดอันดับว่าใครควรอยู่ในกลุ่มนักลงทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 10 คนในโลกทั้งที่ตายไปแล้วและยังมีชีวิตอยู่ ผมไม่เรียงตามลำดับความโดดเด่นเพราะคงจะเป็นไปได้ยาก สิ่งที่ผมเห็นว่าทุกคนคล้ายคลึงกันก็คือ ทุกคนเป็นผู้นำที่มีความคิดสร้างสรรค์สูงมาก ฉลาด รวย และอายุและการทำงานยืนยาว ที่อ่อนหน่อยก็ 70 ปีขึ้น ที่แก่ก็คือใกล้ร้อยปี