คุณวิบูลย์ ขอรายชื่อหุ้นที่ผ่านตะแกรงร่อนหน่อยครับ

กระทู้คุณค่า มีประโยชน์ ความรู้ดีดี เป็นประโยชน์เสมอไม่ว่าเวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน แค่ไหนก็ตาม
บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อังคาร ม.ค. 13, 2004 4:29 pm

ผมลองอ่านเรื่อง การกำหนดราคาหุ้นดู (ใน "ราคาหุ้นและการปรับโครงสร้างทางการเงิน" ) ในส่วนของ Terminal value เค้าใช้
Terminal Value (ของปีสุดท้าย ) = FC (1+g) / (WACC-g) x (ส่วนที่ปรับให้เป็น PV)
ผมเข้าใจว่าหลักการหาค่าราคาปีสุดท้ายคล้ายๆกับการใช้วิธี earning power value (ในกระทู้เก่า) ถ้าใช่ส่วนหารน่าจะเป็นสัดส่วน % ผลตอบแทนที่อยากได้ แต่สงสัยว่าทำไมใช้ (WACC - g) อีกอย่างค่า g (growth) ที่ใช้ควรกำหนดจาก ค่าการเติบโต ในอดีดของ earnings มากกว่า retained earnings ไช่เปล่าครับ ในหนังสือพูดคล้ายกับให้ใช้สัดส่วนที่เพิ่มเข้าไปใน retained earning เป็นหลัก

อู้ ... ไม่รู้ตั้งคำถามรู้เรื่องหรือเปล่า มือใหม่ครับ (แต่ไม่เด็กแล้ว แฮ่ แฮ่ ) ขอโทษด้วยที่ถามนอกเรื่องที่คุยกันอยู่ ... ขอบคุณล่วงหน้าด้วยครับ
อ่านคำถามก็ยังงงๆ
แต่ก็พยายามตอบครับ
ยังไงคุณมนช่วยด้วยแล้วกันครับ เรื่อง WACC

ในส่วนการเติบโต
ในการเติบโตของ Retain Earning ก็คือกำไรสุทธิหักด้วยเงินปันผล
ดังนั้น ถ้าบริษัทมีปันผล อัตราการเติบโตของRetain Earning จะน้อยกว่ากำไรสุทธิครับ
ถามว่า ใช้ตัวไหน
ผมก็ตอบตรงๆไม่ได้
เพราะต่างจิตต่างใจ
ถ้าผมแนะนำก็ใช้ทั้งสองตัวเลย แล้วดูว่าต่างกันเท่าไหร่
ตัวไหนเหมาะสมก็ใช้ตัวนั้นหละครับ
ง่ายไปไหมครับ

Peter Lynch บอกว่า
"ในการลงทุน ให้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แล้วจะดีเอง"
หลังๆผมก็เลยไม่ได้สนใจสูตรมากมายครับ
เอาไว้เป็นหลักให้เราดูเท่านั้นเอง
เราสามารถคำนวณหามูลค่าออกมาได้
แต่เวลาตัดสินใจก็ใช้ประสบการณ์และความเข้าใจเป็นหลักครับ
ผมว่า "การลงทุนเป็นศิลปะ"อย่างนึงนะครับ
เหมือนเราวาดรูปนะครับ
แรกๆเราก็มีสเกลในการวาดรูป
มีการวัดขนาด กว้าง ยาว สูง ให้สมส่วน
แต่พอเวลาผ่านไป
เราพบว่า
การวาดรูปต้องมาจากภายใน
ไม่ใช่จากภายนอก
ในที่สุดแล้ว
เราคงต้องอาศัยสิ่งที่เรามีอยู่ในจิตใจเราปาดพู่กันไป
มากกว่าที่จะวาดตามไม้บรรทัดจริงมั๊ยครับ
อาจารย์บัฟเฟตเคยบอกไว้ครับว่า
"การหามูลค่าหุ้น ใครๆก็หาได้
แต่การสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่องในตลาด
ต้องการอะไรมากกว่าการหามูลค่าหุ้นเพียงอย่างเดียว"


เอาล่ะ กลับมาที่สูตรกันต่อ
ถามว่า ทำไมใช้ (WACC - g) แทนที่จะเป็น อัตราผลตอบแทนที่เราต้องการ
ตอบว่า อันนี้แล้วแต่ใครจะใช้อะไรครับ
บางตำราก็ใช้ WACC
บางตำราก็ใช้ WACC-g
บางตำราก็ใช้ อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรระยะยาว
บางตำราก็ใช้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้
ดังนั้น ก็ขึ้นกับว่าผู้ใช้ต้องการอะไร

การใช้ WACC บางตำราอ้างอิงถึงค่า Beta ด้วย

อย่าหาว่าผมตอบกวน....จุด จุด จุดเลยนะครับ
ผมก็คงตอบเหมือนเดิม คือ
ก็ลองใช้หลายๆตัว
ตัวไหนดูท่าทีแล้วเหมาะสมที่สุด
ก็ใช้ตัวนั้นเป็นเกณท์
อย่างที่ผมเคยบอกว่า
ไม่มีสูตรสำเร็จในการลงทุนครับ
ไม่งั้นทุกคนก็กลายเป็นมหาเศรษฐีเท่าบัฟเฟต์กันหมดแล้ว
จริงมั๊ยครับ

ขอให้โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ[/quote]

ขอบคุณครับ สำหรับคำแนะนำ สังสัยต้องเร่งอ่านเพิ่มเติม จนสามารถเข้าใจศาสตร์ของมัน จนเอามาใช้ในแนวศิลป์ได้ :wink: น่าจะมีการสอนการหา intrinsic value อีกนะครับ ก่อนอื่นต้องไปสมัครสมาชิกก่อน :) ขอบคุณอีกครั้งครับ



GUEST

ช่วงที่ตลาดเป้นหมี ราคาหุ้นไม่สูง อัตราปันผลเทียบกับราคา

โพสต์ โดย GUEST » พฤหัสฯ. ม.ค. 15, 2004 9:49 am

ผมเพิ่งเล่นหุ้น เมือ่ ธันวา 46 นี้เองครับ อยากถามพี่ๆ vi ว่า ช่วงที่ตลาดเป้นหมี ราคาหุ้นไม่สูง
อัตราปันผลเทียบกับราคา (ใช่ที่เขาเรียกว่า dividen yield ใช้เป่าคับ) จะสูง กว่า ตอนตลาดกระทิงอย่างปัจจุบันหรือไม่
อย่างไร มากน้อยเท่าไร พอจะบอกคร่าวๆได้ไหมครับ เช่น ตอนหมี เฉลี่ย yield กี่ % ตอนกระทิง กี่ %
แล้วอย่างที่ผมคิด จะดีไหมครับ คือว่า ตอน ตลาดกระทิงอย่างตอนนี้ก็ เล่นแบบเก็งกำไร เพือ่หวังส่วนต่างราคา
แล้วตอนตลาดหมี ค่อยเล่นแนว vi เพื่อหวังปันผล อะครับ ขอขอบคุณล่วงหน้าครับ



+++ unlog

โพสต์ โดย +++ unlog » อังคาร ม.ค. 20, 2004 6:29 pm

เรียนถาม ท่านวิบูลย์ ว่า
PTTEP เข้าเป้า กี่ point จาก ทั้งหมด 15 point
ง่ะ .... อิอิ

ช่วยกรุณาแจกแจงให้หน่อย จักเปนพระคุณ

อิอิ....



ไม่ได้เป็นสมาชิก

โพสต์ โดย ไม่ได้เป็นสมาชิก » พฤหัสฯ. ม.ค. 22, 2004 4:29 am

ขอเข้ามาสวัสดีพี่ๆ อาจารย์ทั้งหลายค่ะ อ่านจนครบทุกหน้าแล้วเลยมั่นใจว่าพี่ๆ ที่โพสต์ประจำนี่อาวุโสกว่าแน่นอน คิคิ

ไม่เคยเข้ามาในเวบนี้เลยค่ะ แต่เข้ามาแล้วเจอกระทู้นี้อยู่หน้าแรก แถมมีคนโพสต์กันเกือบสามสิบหน้าเลยต้องเ้ข้ามาอ่าน
ใช้เวลาอ่านเกือบสิบชม.ได้มั้งคะเนี่ย กับแค่ไม่ถึงสามสิบหน้า นับว่าเป็นการอ่านที่ช้าที่สุดเท่าที่เคยมาเลยทั้งที่อ่านหนังสือเร็วมาก
ได้ความรู้มากทีเดียว แล้วก็ได้ทบทวนหลายเรื่องที่เคยเรียน เคยรู้ แต่ไม่ได้เอามาใช้ เพราะไม่เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่

เพิ่งจะเข้าตลาดเมื่อกลางปีที่ผ่านมาเองค่ะ จะว่าโชคดีก็ได้ โชคร้ายก็ได้ เพราะตั้งแต่เ้ข้าตลาดมามันก็ขึ้นอย่างเดียว แถมหุ้นก็ขึ้นเอาๆ
ความตั้งใจแรกตอนเ้ข้าตลาดคือซื้อลงทุนจริงๆ แต่พอหุ้นมันขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะขายไป แล้วก็ไปซื้อตัวอื่น ตอนนี้กลับไปดูหุ้นตัวแรกที่ซื้อ
อยากจะร้องไห้จริงๆ เพราะถ้ายังถืออยู่ถึงตอนนี้จะได้กำไรไม่ต่ำกว่า 100% เลยทีเดียว

พอตั้งใจว่าจะกลับมาหาความตั้งใจเดิม ก็เจอกระทู้นี้เข้าพอดี ขอบคุณพวกพี่ๆ จริงๆ ค่ะ ขอให้พี่ๆ มุ่งมั่นกับการเป็น VI ต่อไปนะคะ

ปล. ขอน้อยใจหน่อยเถอะค่ะ ว่าไม่มี VI สาวๆ มาโพสต์ทู้นี้เลยนะคะ อ่านมายี่สิบเจ็ดหน้า เจออยู่แค่สองอันเอง :wink:



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » พฤหัสฯ. ม.ค. 22, 2004 11:26 pm

ขอบคุณ คุณวิบูลย์มากเลยครับสำหรับ Five Force ของ pttep ตรงกับที่ผมอยากได้เลย แต่อยากให้คุณวิบูลย์ช่วยทำเป็นตัวอย่าง แบบในหนังสือ The New Buffettology ฉบับแปล ในบทที่ 19 เอาให้ครบทั้ง 11 ข้อเลยน่ะครับ ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า ไม่มาก ก็น้อย น่ะครับ
ปล.หลังจากอ่านครบ 3 รอบ รู้สึกว่าชอบมากเลยครับ แต่ก็ไม่รู้จะไปปรึกษากับใคร ก็เห็นมีแต่ใน เวบนี้เเท่านั้นแหละครับที่พอจะปรึกษาได้ครับ. :lol:



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » ศุกร์ ม.ค. 30, 2004 3:52 pm

เคยรู้จักหมอ อ แบบห่างๆ..
เพราะเพื่อนเคยไปใช้บริการ
บอกว่าบริการดี เหมาะสมกับราคา

แต่หากจะเลือกพี่หมอแต่งงาน
มีัปัจจัยที่ต้องพิจารณาคือ

1.หมอ อ ไม่มีแผนงานที่จะขยายคลีนิค ดังนั้น
กำไรที่หมอ อ ทำได้ จุดหนึ่งจะไม่เพิ่มขึ้น เพราะคลีนิคเต็มแล้ว

2.ได้ข่าวแว่วๆ ว่าหมอจากกรุงเทพ ชื่อหมอ บี จะไปเปิดคลีนิคที่ั้นั่น
(หรือเปิดแล้วก็ไม่ทราบ) กลัวว่าจะไปแ่ย่งลูกค้าหมอ อ ครับ
เพราะหมอ บี มีพ่อรวย คงทุ่มงบไม่อั้นแย่งลูกค้า



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » เสาร์ ม.ค. 31, 2004 5:09 pm

:lol: :lol: :lol: มุขน้องแฮรี่เด็ดดวงดีจริงๆ
เล่นเอาคุณ aye รับแทบไม่ทัน :lol: :lol: :lol:



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อาทิตย์ ก.พ. 01, 2004 4:10 pm

เอ..จุดเสียวของพี่เทพ
เกี่ยวข้องกับสัญญา take or pay หรือเปล่าครับ
ดูเหมือนว่า พี่เทพจะตัดรายจ่ายเป็นรายได้หรือเปล่าครับ
ซึ่งจะทำให้กำไรมากกว่าปกติ
ไม่แน่ใจนะครับ เพราะไม่ได้ติดตามมาก



AAA_Thailand

โพสต์ โดย AAA_Thailand » จันทร์ ก.พ. 09, 2004 6:18 pm

ขอร่วมแสดงความคิดเห็นครับ
PTTEP ไม่ใช่ไม่มีความเสี่ยงนะครับ ลองไล่ดูจากน้อยไปมากครับ
1 Exchange rate risk โดยเฉพาะแนวโน้ม Dollar ที่จะอ่อนในระยะกลาง แต่อาจจะชดเชยได้ด้วยการเพิ่มราคา Dollar ของ Commodity เพื่อชดเชยกับการลดค่าของเงิน
2 การไม่สามารถกำหนดราคาขายเองได้ต้องเป็นไปตามกลไกตลาด หมายถึงราคาน้ำมันซึ่งแตกต่างจากนิค้าบางประเภทเช่น Coke ครับ
3 Product Substitution มีนะครับไม่ใช่ไม่มี LNG ซึ่งแนวโน้มที่ Transportation Cost ต่ำลงเรื่อยๆ เพราะ LNG บางประเทศขายกันต่ำกว่า 1 $/MMBTU ครับ รวมTransportation and Handling ในอนาคตเป็นไปได้ว่าจะเห็นที่ต่ำกว่า 2 $/MMBTU โดยเฉพาะ Supply ในโลกมีเยอะมากๆๆๆๆ แต่ที่ผ่านมามีปัญหาเรื่องการขนส่งทำให้ Proximity to market มีความสำคัญ แต่ในอนาคตไม่แน่ใจนักครับ
4 การประเมินราคาหลุมก๊าซหรือน้ำมันใหม่ๆ จะต้องใช้การคาดการณ์ราคา ที่ผ่านมาหลุมก๊าซของPTTEP ใช้การประเมินราคาค่อนข้างต่ำเช่นบงกชเนื่องจากในช่วงค้นพบนั้นเป็นช่วง Cheap Oil แต่ในปัจจุบันการประเมินราคาหากมีการค้นพบใหม่ ผมไม่แน่ใจครับว่าจะใช้ราคาใดในการตัดสินใจว่าควรจะนำขึ้นมาใช้ ด้วยความที่บุคคลากรมาจากกึ่งรัฐน่ะครับเลยไม่แน่ใจ กลัวว่าจะประเมินราคาเพื่อให้เกิดโครงการโดยลืมถึงความเสี่ยงครับ อย่าลืมนะครับว่าหลุมน้ำมันบางที่เช่น North Sea ก็ขาดทุนบ่อยๆครับเพราะต้นทุนการผลิตแพง และหลุมในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นหลุมขนาดเล็กครับ ต้นทุนการผลิตแพงถ้าเทียบกับประเทศอื่นๆ อย่าลืมนะครับ PTTEP อยู่ในธุรกิจที่ Capital Intensive ครับ ไม่ใช่อุตสาหกรรมที่ใช้ Capital น้อยๆครับ
5 Government Intervention ครับ เห็นได้ชัดขึ้นเรื่อยๆ และก็เป็นปัจจัยที่กระทบต่อ PTTEP มากที่สุดจากการต่อรองราคาหลุมอาทิพย์ ที่ใช้เวลานานกว่าที่ควรจะเป็นและที่สำคัญได้ราคาที่ถูกมากครับ จากตรงนี้ผมเลคาดการณ์ว่าแนวโน้ม Profit Margin น่าจะลดลงไปเรื่อยๆครับ โดยเฉพาะกับหลุมที่ PTTEP ถือหุ้นข้างมาก น่าจะถูกรัฐบีบราคาน่าดู เพราะดันเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานและมีผลกระทบมากที่สุดต่อห่วงโซ่อื่นๆในระบบเศรษฐฏิจครับ อย่าลืมนะครับค่าไฟฟ้าบ้านเราค่อนข้างแพงมาก ข้อนี้จะต่างกับ EastW มากที่ผูกขาดในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่ต้นทุนหลักทำให้ไม่ค่อยมีคนสนใจที่จะทำ

ทั้งหมดนี้เป็นแค่บางส่วนครับ เพราะบางปัจจัยยังไม่ชัดเจนครับต้องรอเวลาพิสูจน์ เช่นความสารถของผู้บริหาร ทั้งในกรณีการซื้อ Medco การซื้อ Thai Shell ราคา??เมื่อเทียบกับ Reserve?? การลงทุนใน Middle east นอกจากนั้นก็ยังมีความไม่แน่นอนในการ Tender จาก PTT ครับ เพราะลูกดันดีกว่าแม่

ที่เขียนมาทั้งหมดอยากให้มองอีกด้านครับ ผมเองก็มีเยอะมากในราคาที่ต่ำครับ แต่เห็นเชียร์กันเยอะเลยอยากให้มุมมองอีกด้านบ้างครับ แต่ก็ยังยืนยันนะครับว่าเป็นหุ้นที่ดีใน Set ตัวหนึ่งครับ ยอมรับครับว่าการหาหุ้นที่ดีจริงๆนั้นหายากมากๆๆๆๆ และยากครับที่จะมีหุ้นดีๆพร้อมกันกมากกว่า 1 ตัวครับ
ปล. เป็นความเห็นทั้งหมดครับ โปรดพิเคราะห์ด้วยตนเอง และผมก็ไม่ได้อยู่ใน Industry นี้ด้วย หากมีท่านผู้รู้ใน Industry นี้มาแนะนำจะขอบคุณครับ



toon

โพสต์ โดย toon » จันทร์ ก.พ. 16, 2004 3:29 pm

ผมขอถามพี่ VIB เกี่ยวกับหุ้นในกลุ่ม ปิโตรเคมี กับ Bank หน่อยนะครับ ซึ่งมีคำถามดังนี้ครับ
1. อยากขอถามว่าทำไมหุ้น NPC กับ TOC ส่วนตัวผมคิดว่า NPC ดีกว่าในแง่ของการ ที่มีความมั่นคงฐานะการเงินก็ดีกว่า มีการจ่ายปันผลแน่นอน ซึ่งผมชอบห้นแบบนี้นะ แต่ทำไมหลายๆ คนมักจะบอกว่า TOC มีอนาคตดีกว่า ทำให้ผมอยากทราบว่าการที่ TOC มีอนาคตดีกว่า NPC นั้นเพราะว่าอะไรครับ
2. ผมสนใจกลุ่ม Bank เหมือนกันมีตัวที่สนใจคือ BBL SCB KBANK แต่ไม่รู้จะตัดสินใจเลือกตัวใดดี ส่วนตัวผมคิดว่าดีพอๆกันนะครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » จันทร์ ก.พ. 16, 2004 3:53 pm

VIB007 เขียน: 2. สิ่งพิมพ์-ผมไม่มีหุ้นสิ่งพิมพ์เลยครับ
ผมว่าจะลงทุนในหุ้นที่อากู๋ไพบูลย์เปิดธุรกิจแข่งไม่ได้
แต่สิ่งพิมพ์นี่ Barrier to Enrty ต่ำมากๆ
แต่ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระยะยาวก็มีไม่มากครับ
เรียกว่า เข้าง่ายออกง่าย

พี่ครับ ธุรกิจสิ่งพิมพ์จริงๆ เข้ายากนะครับ ถ้าจะให้ขายดีและมีคุณภาพ เพราะว่าถ้าจะครบวงจรมันต้องมีทั้งโรงพิมพ์ และสายส่งที่ดี เครื่องพิมพ์ดีๆก็หลายล้านบาท สายส่งดีๆต้องครอบคลุมทั่วประเทศ และทีมงานกองบก.ต้องมีความรู้มาก และวิเคราะห์วิจารณ์ได้เจ๋งด้วย

สำหรับกลุ่มนี้ผมมอง สยามสปอร์ตกับมติชนไว้ครับ ตัวแรกนี่ผมว่าได้ยาวเพราะด้านกีฬานี่ผมมองว่าเข้ามาแข่งได้ แต่จะเหนือกว่าสยามกีฬานี่ยากมากๆๆครับ ส่วนมติชนผมคิดว่าเค้ามีทีมงานด้านการเมืองดี และเป็นหนังสือพิมพ์ที่เน้นเนื้อหา แม้ว่าจะปรับตัวให้เบาลงบ้าง ด้วยการเพิ่มเซ็คชั่นใหม่ และยังมีข่าวสดที่เป็นหนังสือพิมพ์เบา แล้วทั้งสองหัวก็รวมกันแล้วมากกว่าไทยรัฐ แม้ว่าไทยรัฐจะเป็นเบอร์ 1 ก็ตาม เท่าที่ทราบมา post ก็ให้ไทยรัฐเป็นสายส่งให้ด้วยครับ (อันนี้รู้มาจากคนใน)

ผมมันคงวงการนี้ครับ เลยดูง่ายหน่อย แถมซีเอ็ดให้ว่าร้านหนังสือดีหาง่ายมากๆ แต่ผมเองยังไปเดินศูนย์หนังสือจุฬาฯกับสวนจตุจักรเพื่อหาหนังสือราคาถูก และบางร้านก็ไม่รับมาขายก็มีครับ หนังสือเก่าๆดีๆก็หายาก เลยต้องไปตามร้านมือสอง ซีเอ็ดไม่มีโรงพิมพ์เองเห็นจ้างโรงพิมพ์อื่นอยู่ ไม่แน่ใจว่าที่เนชั่นมาถือหุ้นด้วย จะแชร์โรงพิมพ์กันใช้หรือเปล่า ส่วนตัวเนชั่นผมมองว่าธุรกิจมันเยอะเกินจนไม่ค่อยน่าสนใจ แม้ว่าชื่อเนชั่นในด้านข่าวสารข้อมูลจะดูน่าเชื่อถือมากกว่ารายอื่นก็ตาม ด้าน aprint ผมว่าดีมากครับ มีครบเครื่องเหมือนสยามกีฬา แต่เค้าไม่มีด้านเด่นชัดเจนว่าเจ๋งด้านไหน พวกด้านบ้าน จัดสวน เค้าก็ดัง แต่ไม่เห็นพูดกันเลยว่า ถ้าจัดสวนต้องบ้านและสวน ไรทำนองนี้ครับ ส่วนตงฮั้วไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ รู้แต่ว่าเป็นหนังสือพิมพ์จีน แม้ว่าคนจีนจะมาก แต่ผมไม่เคยเห็นคนอ่านกันเลย และยังเห็นว่ามีขาดทุนสะสมอยู่ด้วย ส่วน tbsp ที่พิมพ์เอกสารที่สำคัญกันการปลองแปลง มันไม่ใช่พวกนิตยสาร หนังสือพิมพ์ เลยเหมือนไม่ค่อยเกี่ยว แต่ก็เป็นธุรกิจที่ดีมากเหมือนกัน ผมก็มองอยู่ แต่จากที่เคยถามไปในกระทู้ก่อน ก็คงมองไว้เป็นหุ้นปันผลมากกว่าการถือยาวเพื่อมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของครับ

ผมอาจมองไม่ตรงกับใครก็เชิญมาเสริมเติม แก้ไขได้ครับ



WEB

โพสต์ โดย WEB » อังคาร ก.พ. 24, 2004 2:04 pm

เห็นคุยกันเรื่องหนังสือทีไร ผมอดไม่ได้ต้องขอแจมด้วย คุณ MON ผมมีทั้ง THE ZULU PRINCIPLE และBEYOND THE ZULU PRINCIPLE ครับ สองเล่มนี้มีเนื้อหาคล้ายกันบางส่วน แต่ก็จัดว่าดีครับ ของ JIM SLATER ผมไม่ได้ซื้อ YOU CAN BE A MILLIONAIRE เพราะเห็นว่า เนื้อหาอ่อนไปหน่อย อีกเล่มของเขาที่ผมมีก็คือ RETURN TO GO เล่มนี้เขาจะเล่าถึง 7 ปีที่เขารุ่งเรือง ตามด้วย 3 ปีแห่งความลัมเหลว ตอนนั้น ฐานะการเงินของเขาถึงกับติดลบเลยครับ หนังสือเล่มนี้เขียนในปี 1977 ซึ่ง OUT OF PRINT ไปแล้วครับ ส่วน SUPER STOCKS ของ KEN FISHER ผมซื้อมาเมื่อ 7 ปีก่อน แต่ยังไม่ได้อ่านเลยครับ หนังสือจะพูด
ถึง PRICE SALES RATIO, PRICE RESEARCH RATIO และ MARGIN ANALYSIS ครับ



กำลังจะเป็น VI

ROE in Buffettology

โพสต์ โดย กำลังจะเป็น VI » อังคาร ก.พ. 24, 2004 4:51 pm

หวัดดีครับ กำลังอ่าน Buffettology ไม่ใช่ New Buffettology นะครับ ผมอ่านที่พูด ๆ กันบอกว่าหนังสือของ Mary Buffet มีข้อผิดพลาด อันแรกที่หนังสือบอกว่าให้ใช้ Earning ในการหาราคา ซึ่งจริงๆน่าจะใช้ FCF มากกว่า เห็นคุณ VIB007? บอกว่าเพราะ Mary ต้องการไม่ให้คนอ่าน (ส่วนมากมือใหม่)สับสน และ ให้ดูง่าย อีกอย่างผมคิดว่า อาจเป็นเพราะสำหรับบริษัทที่ผ่านข้อมีหนี้น้อย และ conservatively financed และ การบริหาร (การเงิน)ดี ถ้ามองในระยะยาว 5-10 ปี Earning น่าจะไม่ต่างจาก FCF มาก ก็เลยแนะนำให้ใช้ได้ เข้าใจเอาเองนะครับ ช่วยแนะนำด้วย

อีกอย่างผมสงสัยเรื่อง ROE ซึ่งบอกความสามารถทำเงิน ตามปรกติควรใช้ Equity(BV) ของต้นปี หรือปลายปีก่อนหน้านั้น และ Return(Earning) ของปลายปีเพื่อหา ROE ของปีนั้นหรือเปล่าครับ

แต่บางครั้ง หนังสือของ Mary Buffet ก็ใช้ตัวเลขของปีเดียวกันเลย บางจุดคำนวนตามเลยไม่ตรง แนะนำหน่อยนะครับ



กำลังจะเป็น VI

โพสต์ โดย กำลังจะเป็น VI » อังคาร ก.พ. 24, 2004 10:23 pm

ขอบคุณมากครับ จริงๆยังไม่คิดว่าตัวเองเข้าใจสำหรับคำถาม แต่รู้สึกเข้าใจหนทางที่ชี้โดยคำตอบ ตั้งใจอยู่แล้วครับว่าต้องอ่านมากๆ ศึกษามากๆ แล้วคง 'พลันคิดได้' .... หวังว่าคงมีสัมมนาอีกนะครับ เจอเวบนี้ช้าไป แต่จะอ่านเยอะไว้รอครับ ขอบคุณอีกครั้ง



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อังคาร ก.พ. 24, 2004 10:44 pm

ยิ่งนานวัน ความคิดคุณวิบูลย์ ก็ยิ่งตกผลึกครับ
น่าดีใจแทนชาว TVI ที่มีสมาชิกคอยสละเวลามาให้ความรู้เสมอๆ
ทั้งคุณ aye พี่เจ๋ง พี่ CK และสมาชิกทุกคน ที่ำทำให้เป็นสังคมแห่งนี้
แม้ยังจะไม่เป็นเวปในฝัน แต่ก็น่าจะดีที่สุดแห่งหนึ่ง อย่างที่พี่เจ๋งเคยพูด..



กำลังจะเป็น VI

โพสต์ โดย กำลังจะเป็น VI » พุธ ก.พ. 25, 2004 9:37 am

เห็นคุณ VIB007 บอกว่าหนังสือที่แสดงการหาค่า Intrinsic Value (ด้วย DCF)คือ Value Investing From Graham to Buffet and beyond ของ Bruce Greenwald, ไม่ทราบว่าอ่านยากมากไหมครับ เพราะเข้าไปอ่านความเห็นใน Amazon.com มีคนบอกว่าต้องเตรียมหา dict สำหรับ Financial term ไว้ ดูจาก Contents แล้วน่าสนใจ ลองอ่านการหาค่าหุ้นจากหนังสือ การหามูลค่าหุ้นและการปรับโครงสร้างฯ แล้วแต่ยังไม่ค่อยอินเท่าไร อยากหาอ่านเพิ่ม ถ้ามีเล่มแนะนำบอกด้วยนะครับ

ขอบคุณครับ



กำลังจะเป็น VI

โพสต์ โดย กำลังจะเป็น VI » พุธ ก.พ. 25, 2004 9:54 pm

คุณ VIB007 ขอบคุณครับ ผมไม่ชอบจำสูตรอย่างเดียว แบบไม่ค่อยมีที่มาที่ไป อยากเข้าใจที่มาที่ไปด้วยนะครับ จะได้ใช้อย่างถูกต้องและพลิกแพลงได้ ในโลกแห่งความจริงไม่มีตัวเลขหรือข้อมูลมาลอยให้เราเห็นเป้งๆ ถ้าไม่เข้าใจแล้วใส่สูตรอย่างเดียว อาจไปคนละทิศ (ที่ว่า precisely wrong นะครับ) ขาดทุนยับ ขอบคุณสำหรับหนังสือที่แนะนำครับ ถ้าสงสัยจะกลับมาถามใหม่



WEB

โพสต์ โดย WEB » พฤหัสฯ. ก.พ. 26, 2004 1:06 pm

คุณวิบูลย์ครับ ผมมีข้อจำกัดบางอย่างครับ ที่สำคัญก็คือ ผมพิมพ์ดีดไม่เป็นครับ ให้ผมพิมพ์ยาวๆ ผมต้องแย่แน่ๆเลย อีกข้อหนึ่งก็คือ หาก REVIEW หนังสือโดยนำใจความหลักๆมาเล่า ส่วนใหญ่แล้ว จะเป็นสิ่งที่เรารู้ๆอยู่แล้ว สำหรับผมแล้ว ความน่าสนใจของหนังสือจะอยู่ที่รายละเอียดมากกว่าครับ สำหรับ SUPER STOCKS หากคุณวิบูลย์ต้องการจะอ่าน ช่วยบอกที่อยู่ให้ด้วยครับ ผมจะ MAIL ไปให้ ของผมเป็น PAPERBACK EDITION ครับ ผมไม่แน่ใจว่า COPY แล้วหนังสือจะแบะหรือเปล่า แต่หากคุณวิบูลย์อยากได้หนังสือมือสอง ผมแนะนำ WWW. ABE.COM ครับ ผมซื้อมาหลายปีไม่เคยมีปัญหาครับ ค่าส่งแบบนานหน่อยจะอยู่ที่ $9 ต่อเล่มครับ ( ไม่มี PER ORDER CHARGE ครับ) ผมเพิ่งเข้าไปดูเมื่อสักครู่ เล่มถูกสุดของ SUPER STOCKS ราคาแค่ $ 1 ครับ อย่างไรก็ตาม การซื้อหนังสือมือสองต้องดูสภาพหนังสือด้วยครับ สภาพจะมีตั้งแต่ ACCEPTABLE, FAIR, GOOD , VERY GOOD, FINE, MINT เหมือนซื้อหุ้นครับ PRICE IS WHAT YOU PAY, VALUE IS WHAT YOU GET คุณ MON ครับ THE ZULU PRINCIPLE กับ BEYOND THE ZULU คล้ายกันเยอะครับ ผมว่าอ่านเล่มเดียวก็พอครับ หนังสือที่ผมยังไม่ได้อ่านมีอีกเยอะเลยครับ เมื่อวาน AMAZON ก็เพิ่งส่งมาอีก 4 เล่ม เวลาที่ใช้ในการแปลหนังสือ 1 เล่มเอาไปอ่านหนังสือได้ถึง 5 เล่มเลยครับ เจ้านายผมและผู้อ่านหลายท่านแนะนำหนังสือที่อยากให้แปลเข้ามาเยอะมากครับ ผมอาจจะไม่ได้อ่านหนังสืออีกนานเลยครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » อาทิตย์ ก.พ. 29, 2004 1:50 pm

Mon money เขียน:ผู้บริหารนี่ไม่ยากอย่างที่คิด ผมเคยแกะงบของบริษัทหนึ่ง

โห...พี่แกไปให้บริษัทลูกกู้แบบไม่มีหลักประกัน...ไม่มีดอกเบี้ย

ในท้ายที่สุด....write-off หนี้ส่วนนั้นทั้งจำนวน.....

ในกรณี ROYNET บันทึกรายได้เร็วเกินกว่าที่ควรจะเป็น...อย่างเห็นได้ชัด

กำไรโตเป็นหลายเท่าตัวภายในระยะเวลาไม่ถึงปี......พอไปดูงบกระแสเงินสดเลย.....อ๋อ...บันทึกรายได้โดยยังมิได้เก็บเงินเลยทั้งจำนวน...อย่างนี้บัญชีช่วยด้ายยยยยย
อยากดูงบได้ทะลุปรุโปร่งแบบพี่บ้างอ่ะ พื้นฐานดูออกได้ แต่มองไม่ลึกขนาดนั้นเลยอ่ะ ทำงัยบ้างครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » จันทร์ มี.ค. 08, 2004 1:24 pm

ว้าว ผมคงต้องนั่งฟังอาจารย์Ayethebing บรรยายแล้วละครับช่วงนี้
เยี่ยมมากๆครับ ผมอ่านแล้วก็ยังงงๆ
คงต้องมาอ่านซ้ำอีกครั้ง เพราะอ่านเร็วๆแล้วไม่เข้าใจน่ะครับ

กำลังรอตอนต่อไปอยู่นะครับ อาจารย์

อ้อ ใครสนใจการหามูลค่าที่แท้จริง
บทความนี้เลยครับ ส่งเข้ามาโดยคุณสุรชัย ชีพเจริญรัตน์
ผมว่ามีประโยชน์มาก
ลองดูได้เลยครับ

http://www.thaivalueinvestor.com/invest ... _thai.html

ใครถามมาคงต้องให้ท่านเจ้าของบทความมาตอบนะครับ
kotaro เขียน:เรียนถามพี่วิบูลย์หรือพี่ ayethebing ครับ

ในหนังสือ ของ อ fisher เขียนเรื่องการซื้อหุ้นผ่าน over-the-counter

นี่เป็นแบบไหนครับ ในบ้านเรามีไหมครับ

หรือเป็นการซื้อหุ้นในสมัยก่อนครับ

ขอบคุณมากครับ

Over the Counter ก็คือการซื้อหุ้นที่ไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์
สมัยก่อน หุ้นเบริคไชน์ก็ขายโดยผ่าน Over the Counter
และเพิ่งเข้าตลาด New York เมื่อช่วงปี 1980 นี่เอง


การขายผ่าน Over the Counter ก็คงคล้ายๆกับตลาดหุ้นเมืองไทยสมัยก่อน
ผมเคยฟังอาจารย์วิกรม เกษมวุฒิเล่าให้ฟัง
สมัยก่อนที่จะมีตลาดหุ้น
ถ้าอยากซื้อหุ้นตัวไหนก็บอกโบรกเกอร์โดยที่เรายังไม่รู้ราคา
ผ่านไปสามวัน โบรกเกอร์โทรมาบอกราคา
บางครั้งไม่ได้ตามจำนวนที่ต้องการ
ถ้าตกลงกับราคาและจำนวน ผ่านไปอีกหนึ่งอาทิตย์ถึงจะได้ใบหุ้น
แถมค่าคอมมิสชั่นก็ราวๆ 5-10%

ผมว่าบรรยากาศน่าจะคล้ายๆกัน

เมืองไทยสมัยนี้คงไม่มีแล้ว
หรือถ้ามีก็คงต้องไปหาโอนหุ้นกันเองนอกตลาด
ของอ. fisher เล่มไหนที่ควรมีอ่านเล่มแรกเลยครับ ว่าจะไปหามาเก็บ ตอนนี้มีของบัฟเฟต กับ เกรแฮมแล้วครับ
อย่างที่คุณ kotaro บอกละครับ
ถ้าของอาจารย์ Fisher ก็ต้อง
Common Stock and Uncommon Profit
หาซื้อได้ที่ Asiabook หรือ Kinokuniya ราคาเล่มละ 750 บาท
ผมเพิ่งซื้อมาเมื่ออาทิตย์ก่อน
เพราะมีคำนำเขียนใหม่โดยลูกชายอาจารย์ น่าอ่านมากครับ

ตอนนี้กำลังอ่าน John Neff in Investing อยู่
สงสัยผมต้องนับเอาเป็นอาจารย์ของผมอีกหนึ่งท่าน
ผมว่า คุณMon Money ต้องชอบสไตล์อาจารย์ Neff แน่เลยครับ
เพราะอาจารย์เล่นเก็บก้นบุหรี่ตลอดเวลา
อะไรถูกๆเหมาหมด พอสูบได้ที่ก็ปล่อยเอาเงินไปหาตัวไหม่แทน

บางตัวก็เก็บแล้วเก็บอีก หลายๆครั้งตาม Cycle
แถมถือหุ้น Cycle มากถึง 30-40% ของพอร์ตอีกต่างหาก
สุดยอดจริงๆ

ยังอ่านไม่จบครับ แต่ประทับใจมาก

ถ้าใครสนใจตอนนี้ที่ Amazon.Com มีลอตใหม่เข้ามาแล้วครับ
ในเมืองไทย ผมยังไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้
รู้สึกคุณมนจะไปเก็บของเลหลังมาจาก B2S นะครับ
แต่ผมไม่ค่อยได้เข้า B2S สักเท่าไหร่ เลยไม่ทราบว่ายังมีอยู่หรือเปล่า

เอาล่ะครับ วันนี้สวัสดีครับ
รอให้อาจารย์ Ayethebing มาบรรยายต่อ



Wvix can't log in

โพสต์ โดย Wvix can't log in » อังคาร มี.ค. 09, 2004 6:16 pm

ขอบคุณพี่ Ayethebing มากๆครับ
ตอนนี้ผมกำลังปู Basic พื้นฐานให้แน่นๆอยู่ ครับ เฮียวิบูลย์
แต่ก็เข้ามาอ่านกระทู้อยู่เรื่อยๆครับ
ผมอยากให้บรรยากาศในกระทู้นี้เหมือนตอนช่วยต้นๆของกระทู้จังเลยครับ
แลกหมัดกันระหว่างยอดฝีมือใน Tvi สนุกได้ความรู้ดีครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » พฤหัสฯ. มี.ค. 11, 2004 12:24 am

ขอถามเรื่อง Debt free company หน่อยครับว่าเมื่อเทียบประโยชน์ของการเป็นหนี้ในระดับที่เหมาะสมคือ
1. เป็น Tax shield ตอนที่บ.ไม่มีขาดทุนสะสม
2. ช่วยให้ต้นทุนทางการเงิน (WACC) ต่ำลง เนื่องจาก Kd น้อยกว่า Ke
3. เป็น Gearing ช่วยเพิ่ม ROE

กับบ.ที่เป็น Debt free ที่แสดงความแข็งแกร่งของฐานะการเงิน และ earning & risk ตกอยู่กับเจ้าของเพียงผู้เดียว

ไม่ทราบว่าบริษัทไหนมี Policy ที่ได้เปรียบกว่ากันครับ

สำหรับผม ผมมองว่าการมีหนี้บ้างในระดับที่เหมาะสม ขึ้นกับธุรกิจก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องที่เสียหายมิใช่หรือครับ



THEPUNG

โพสต์ โดย THEPUNG » จันทร์ มี.ค. 22, 2004 1:05 pm

ข้อ 2 เป็นนนนน....คำตอบสุดท้ายคร้าบบบบบ



THEPUNG

โพสต์ โดย THEPUNG » พุธ มี.ค. 24, 2004 5:34 pm

แฮะๆๆ เป็นเรื่องมังกรคู่ได้มะพี่



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » ศุกร์ เม.ย. 02, 2004 5:15 pm

ช่วยวิจารยณ์ Beyond Zulu Principle หน่อยว่าน่าอ่านหรือเปล่า เห็นบอกว่าหายาก



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » พฤหัสฯ. เม.ย. 08, 2004 11:09 am

ขอถามเกี่ยวกับ Look-Through Earnings หน่อยครับว่าคืออะไร
เคยอ่านแล้วลืมว่าอ่านมาจากที่ไหน

ผมอ่านหนังสือ The warren buffett way ของ hagstrom เค้าบอกว่า buffett ใช้ rate ของ 30 yrs treasury bond เป็น discount rate สำหรับทุกบริษัท โดยไม่ใช้ cost of capital ของธุรกิจนั้น โดยอาจจะมีการ Adjust บ้าง ดูก็ง่ายดีนะครับ ไม่ทราบว่าแกเข้าใจถูกหรือเปล่า เข้าใจว่าแกตีความจาก Berkshire's chairman letter

อีกอย่างหลังจากเราหา discounted value ของ owner earnings แล้ว เราควรลบออกด้วย long-term debt แล้วบวกด้วย excess cash หรือเปล่าครับ เห็นในหนังสือไม่ได้เอามาคิด แต่รู้สึกว่าเคยอ่านเจอที่ไหน



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » พฤหัสฯ. เม.ย. 08, 2004 1:16 pm

VIB007 เขียน:
Anonymous เขียน:ผมอ่านหนังสือ The warren buffett way ของ hagstrom เค้าบอกว่า buffett ใช้ rate ของ 30 yrs treasury bond เป็น discount rate สำหรับทุกบริษัท โดยไม่ใช้ cost of capital ของธุรกิจนั้น โดยอาจจะมีการ Adjust บ้าง ดูก็ง่ายดีนะครับ ไม่ทราบว่าแกเข้าใจถูกหรือเปล่า เข้าใจว่าแกตีความจาก Berkshire's chairman letter
ถูกแล้วครับ
แต่ต้องเอา Inflation เข้าไปคิดด้วยจะถูกต้องมากขึ้น

สำหรับการใช้ WACC ตามหลัก EMT นั้น
บัฟเฟตบอกว่า ไม่ถูกต้องเพราะจะทำให้เปรียบเทียบ"มูลค่า"ระหว่างบริษัทผิดไป
เพราะคิดค่า"Beta"ในการคำนวณ

บัฟเฟตมองว่า ค่าBeta ไม่ได้เกี่ยวกับ"มูลค่า"ของกิจการ
ขอบคุณครับ ถามต่ออีกนิด ถ้าด้วยหลักการเดียวกันมาใช้ในเมืองไทย ควรจะอะไรให้เทียบได้กับ treasury bond ครับ ไม่รู้ว่าเรามีพันธบัตรรัฐบาล หรืออะไรที่ใกล้เคียงกันหรือเปล่าครับ และ จะหาข้อมูลดอกเบี้ยได้ที่ไหน ขอบคุณอีกครั้งครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » ศุกร์ เม.ย. 09, 2004 7:32 am

VIB007 เขียน: ใช้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยก็ได้ครับ
ดูจาก นสพ กรุงเทพธุรกิจ

แต่ที่ผมชอบคือ ใช้ MLR ของแบงค์
เพราะถือว่าเป็นต้นทุนเงินทุนที่ดีอันหนึ่ง
ค่อนข้างเชื่อถือได้ ไม่สวิงมาก

เป็นเหตุผลหนึ่งทีทำไมดอกเบี้ยขึ้นแล้วหุ้นตก
ก็เพราะต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น
"มูลค่า"ของกิจการก็เลยลดลง

คงได้ไอเดียนะครับ
ยังงั้นมูลค่าของกิจการ(Intrinsic Value ไม่ใช่ Price)ก็จะเปลื่ยนตลอดที่ดอกเบี้ยเปลื่ยน โดยที่บ้างครั้ง Underlying economics (ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ย โดยเฉพาะที่มีหนี้น้อยมาก เสียดอกเบี้ยต่ำ หรือไม่เสียเลย) ไม่ได้เปลื่ยน ยั่งงี้เราควรจะทำนาย discount rate เป็นช่วงๆ และคำนวน discount value เป็นช่วงๆเวลา (stages) หรือเปล่าครับ หรือ ว่าควรจะยอมรับการแกว่งตัวและคำนวน"มูลค่า"ใหม่ตามดอกเบี้ย (discount rate )ซึ่งก็ไม่ได้เปลื่ยนบ่อยอยู่แล้ว
ขอบคุณอีกครั้งครับ



บุคคลทั่วไป

โพสต์ โดย บุคคลทั่วไป » ศุกร์ เม.ย. 09, 2004 9:23 am

ก็เข้าใจนะครับว่า "มูลค่า" กิจการควรเป็นช่วงๆ (range) แต่ถ้าเราต้องถือระยะยาวเป็น 5-10 ปี ช่วงที่ว่าอาจกว้างมากๆ ใจผมคิดว่าช่วงมูลค่าอาจจะไม่ต้องกว้างมากแต่อาจจะต้องปรับช่วงของมูลค่าบ้างเป็นครั้งคราว ถ้าดอกเบี้ยเปลื่ยนไปเยอะ

ถ้ายังงั้นถ้ามูลค่าสูงกว่าราคามากๆ หลังการคำนวนใหม่ โดยอย่างอื่นแทบจะไม่เปลื่ยน เราควรจะทำอย่างไรครับ เข้าใจว่าคงไม่มีถูกผิดนะครับ ลองแชร์ความคิดเห็นกัน ผมกำลังศึกษาครับคงต้องถามผู้รู้ในนี้อีกมาก ขอบคุณครับ



maomath

โพสต์ โดย maomath » พฤหัสฯ. เม.ย. 15, 2004 1:33 am

รบกวนพี่ๆช่วยอธิบายให้ฟังหน่อยนะครับ ขอบคุณมากๆครับ
สนธิ ถ้ามองกลุ่มทุนเก่าคือว่า ถ้าทุนรัฐวิสาหกิจ สมมติกฟผ.เข้าตลาดหลักทรัพย์ คุณว่าตลาดหลักทรัพย์มาร์เก็ตแคปเพิ่มอีกกี่เปอร์เซ็นต์

สโรชา เยอะ

สนธิ เพิ่มอีก 20 เปอร์เซ็นต์หมายความว่าจะทำให้มูลค่าหุ้นซึ่งเป็นบลูชิพ ในตลาดทั้งหมด เพิ่มอีก 20 เปอร์เซ็นต์ วันนี้กลุ่มชินถือมาร์เก็ตแคป 400,000 ล้านเพิ่มอีก 20 เปอร์เซ็นต์ก็เกือบ 500,000 ล้านใช่ไหม ก็เท่ากับดับเบิล เกือบๆ จะครึ่งหนึ่ง ตรงนี้ที่กลุ่มทุนเก่ายอมให้ไม่ได้ นะครับนี่คือสิ่งซึ่งต้อง ออกมาประกาศว่างานนี้ยังไงเขาต้องสู้

คือว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจน่ะครับว่าทำไมเมื่อนำหุ้นเข้ามาแล้ว จึงมีผลกระทบ
แล้วหุ้นตัวเล็กๆล่ะจะได้ผลอย่างไรบ้าง รบกวนด้วยนะครับกำลังพยายามศึกษาอยู่น่ะครับ :oops:



ตอบกลับโพส