SSC
การจ่ายปันผลครับ
ระยะเวลา เงินปันผล P ก่อนขึ้น XD P วันที่ขึ้น XD
01/01/2545 - 31/12/2545 (12) 9.00 200.00 190.00
01/01/2544 - 31/12/2544 (12) 9.00 240.00 232.00
01/01/2543 - 31/12/2543 (12) 6.00 90.50 85.50
01/01/2542 - 31/12/2542 (12) 3.50 109.00 109.00
01/01/2541 - 31/12/2541 (12) 1.00 102.00 102.00
ระยะเวลา เงินปันผล P ก่อนขึ้น XD P วันที่ขึ้น XD
01/01/2545 - 31/12/2545 (12) 9.00 200.00 190.00
01/01/2544 - 31/12/2544 (12) 9.00 240.00 232.00
01/01/2543 - 31/12/2543 (12) 6.00 90.50 85.50
01/01/2542 - 31/12/2542 (12) 3.50 109.00 109.00
01/01/2541 - 31/12/2541 (12) 1.00 102.00 102.00
'เป๊ปซี่'เปิดตัว'เป๊ปซี่โกลด์' หวังเกาะกระแสบอลโลก
เป๊ปซี่เปิดตัวนวัตกรรมล่าสุดแห่งปี เป๊ปซี่โกลด์ หวังเกาะกระแสฟุตบอล 2006 พร้อมดึงสุดยอดนักเตะระดับโลก เธียรี่ อองรี เป็นพรีเซ็นเตอร์เป๊ปซี่โกลด์ร่วมกับสุดยอดนางแบบ คลอเดีย ชิฟเฟอร์
นายชาลี จิตจรุงพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เป๊ปซี่ โคล่า ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า การ นำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่เป๊ปซี่ใช้อย่างประสบความสำเร็จมาโดยตลอด นอกเหนือจากการเป็นผู้นำในการใช้กลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ที่ช่วยสร้างสีสันให้กับตลาดน้ำอัดลมอย่างต่อเนื่อง สำหรับในปี 2006 เป๊ปซี่ต้องการเพิ่มดีกรีความมันส์ในปีทองแห่งกีฬาฟุตบอลที่ผู้บริโภครอคอย ด้วย เป๊ปซี่โกลด์ นวัตกรรมล่าสุดแห่งปี ที่เสนอรสชาติเต็มที่แบบของเป๊ปซี่ในสีโกลด์ ให้ผู้บริโภคที่ชอบทดลองสิ่งใหม่ๆ และชื่นชอบการใช้ชีวิตแบบถึงขีดสุด ได้ดื่มไปพร้อมๆ กับการเชียร์นักฟุตบอลทีม เป๊ปซี่ 11 คนที่ล้วนเป็นนักเตะในดวงใจพวกเขา ซึ่งกำลังจะลงประชันแข้งในแมตช์การแข่งขันระดับโลกตลอดปีนี้
ในขณะเดียวกัน สำหรับการเปิดตัวเป๊ปซี่โกลด์ เรายังสร้างปรากฏการณ์ใหม่แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยการดึงสุดยอดนักเตะดาวซัลโวทีมชาติฝรั่งเศส เธียรี่ อองรี และสุดยอดนางแบบผมทองชาวเยอรมัน คลอเดีย ชิฟเฟอร์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับนวัตกรรมเป๊ปซี่สีโกลด์ล่าสุดนี้ร่วมกัน เพื่อสะท้อนแนวคิดของการกล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าทั้ง 2 คนจะช่วยสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ด้วยรสชาติแห่งชัยชนะของเป๊ปซี่โกลด์ได้อย่างดีที่สุด นายชาลี กล่าว
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อให้ผู้บริโภคได้เต็มที่กับชีวิตในทุกช่วงเวลาสำคัญ โดยเฉพาะวินาทีแห่งชัยชนะในแมทช์ฟุตบอลสำคัญตลอดปี เป๊ปซี่จึงส่ง เป๊ปซี่โกลด์ นวัตกรรมล่าสุดที่ให้รสชาติเต็มที่แบบเป๊ปซี่ในสีโกลด์ หรือสีทอง ออกสู่ตลาด เพื่อสร้างสรรค์เทรนด์ใหม่ของการเชียร์นักฟุตบอลในดวงใจไปพร้อมกับการดื่มเป๊ปซี่โกลด์ เพราะสีทองคือ สีแห่งชัยชนะ ที่จะเพิ่มทั้งกำลังใจและความรู้สึกสนุกสนานลุ้นระทึกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น
ทั้งนี้หลังจากทำการสำรวจหลังให้ผู้บริโภคทดลองดื่มพบว่า มีผู้บริโภคมากถึง 71% ยืนยันว่าจะต้องกลับมาซื้อไปดื่มอีกอย่างแน่นอน เราจึงเชื่อมั่นว่า เป๊ปซี่โกลด์จะต้องเป็นนวัตกรรมเครื่องดื่มที่สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมโดยรวม เหมือนที่นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเป๊ปซี่ทวิสต์ เป๊ปซี่ไฟร์ เป๊ปซี่ไอซ์ และล่าสุดกับเป๊ปซี่ลาเต้ทำได้ รวมทั้งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เป็นแฟนฟุตบอลได้อย่างเต็มที่
การเปิดตัวเป๊ปซี่รสชาติใหม่นี้ ทางเรามีการวางแผนการสื่อสารแบบครบวงจรในทุกๆ ด้าน ทั้งการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่มีเธียรี่ อองรี และคลอเดีย ชิฟเฟอร์แสดงร่วมกัน และการแจกตัวอย่างสินค้า เพื่อสร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้ผู้บริโภคได้ทดลองดื่ม นายฐิติวุฒิ์กล่าว
สำหรับ เป๊ปซี่โกลด์ มีให้เลือก 3 ขนาด คือ แบบบรรจุกระป๋องขนาด 325 มล. และแบบบรรจุขวด ในขวดกริปขนาด 500 มล. และขวดธรรมดาขนาด 1.25 ลิตร
เป๊ปซี่เปิดตัวนวัตกรรมล่าสุดแห่งปี เป๊ปซี่โกลด์ หวังเกาะกระแสฟุตบอล 2006 พร้อมดึงสุดยอดนักเตะระดับโลก เธียรี่ อองรี เป็นพรีเซ็นเตอร์เป๊ปซี่โกลด์ร่วมกับสุดยอดนางแบบ คลอเดีย ชิฟเฟอร์
นายชาลี จิตจรุงพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เป๊ปซี่ โคล่า ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า การ นำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ออกสู่ตลาดเป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งที่เป๊ปซี่ใช้อย่างประสบความสำเร็จมาโดยตลอด นอกเหนือจากการเป็นผู้นำในการใช้กลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง ที่ช่วยสร้างสีสันให้กับตลาดน้ำอัดลมอย่างต่อเนื่อง สำหรับในปี 2006 เป๊ปซี่ต้องการเพิ่มดีกรีความมันส์ในปีทองแห่งกีฬาฟุตบอลที่ผู้บริโภครอคอย ด้วย เป๊ปซี่โกลด์ นวัตกรรมล่าสุดแห่งปี ที่เสนอรสชาติเต็มที่แบบของเป๊ปซี่ในสีโกลด์ ให้ผู้บริโภคที่ชอบทดลองสิ่งใหม่ๆ และชื่นชอบการใช้ชีวิตแบบถึงขีดสุด ได้ดื่มไปพร้อมๆ กับการเชียร์นักฟุตบอลทีม เป๊ปซี่ 11 คนที่ล้วนเป็นนักเตะในดวงใจพวกเขา ซึ่งกำลังจะลงประชันแข้งในแมตช์การแข่งขันระดับโลกตลอดปีนี้
ในขณะเดียวกัน สำหรับการเปิดตัวเป๊ปซี่โกลด์ เรายังสร้างปรากฏการณ์ใหม่แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยการดึงสุดยอดนักเตะดาวซัลโวทีมชาติฝรั่งเศส เธียรี่ อองรี และสุดยอดนางแบบผมทองชาวเยอรมัน คลอเดีย ชิฟเฟอร์ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับนวัตกรรมเป๊ปซี่สีโกลด์ล่าสุดนี้ร่วมกัน เพื่อสะท้อนแนวคิดของการกล้าทดลองสิ่งใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค ทั้งนี้ เชื่อมั่นว่าทั้ง 2 คนจะช่วยสื่อสารภาพลักษณ์ใหม่ด้วยรสชาติแห่งชัยชนะของเป๊ปซี่โกลด์ได้อย่างดีที่สุด นายชาลี กล่าว
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อให้ผู้บริโภคได้เต็มที่กับชีวิตในทุกช่วงเวลาสำคัญ โดยเฉพาะวินาทีแห่งชัยชนะในแมทช์ฟุตบอลสำคัญตลอดปี เป๊ปซี่จึงส่ง เป๊ปซี่โกลด์ นวัตกรรมล่าสุดที่ให้รสชาติเต็มที่แบบเป๊ปซี่ในสีโกลด์ หรือสีทอง ออกสู่ตลาด เพื่อสร้างสรรค์เทรนด์ใหม่ของการเชียร์นักฟุตบอลในดวงใจไปพร้อมกับการดื่มเป๊ปซี่โกลด์ เพราะสีทองคือ สีแห่งชัยชนะ ที่จะเพิ่มทั้งกำลังใจและความรู้สึกสนุกสนานลุ้นระทึกให้กับผู้บริโภคมากขึ้น
ทั้งนี้หลังจากทำการสำรวจหลังให้ผู้บริโภคทดลองดื่มพบว่า มีผู้บริโภคมากถึง 71% ยืนยันว่าจะต้องกลับมาซื้อไปดื่มอีกอย่างแน่นอน เราจึงเชื่อมั่นว่า เป๊ปซี่โกลด์จะต้องเป็นนวัตกรรมเครื่องดื่มที่สร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลมโดยรวม เหมือนที่นวัตกรรมใหม่ๆ อย่างเป๊ปซี่ทวิสต์ เป๊ปซี่ไฟร์ เป๊ปซี่ไอซ์ และล่าสุดกับเป๊ปซี่ลาเต้ทำได้ รวมทั้งตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เป็นแฟนฟุตบอลได้อย่างเต็มที่
การเปิดตัวเป๊ปซี่รสชาติใหม่นี้ ทางเรามีการวางแผนการสื่อสารแบบครบวงจรในทุกๆ ด้าน ทั้งการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่มีเธียรี่ อองรี และคลอเดีย ชิฟเฟอร์แสดงร่วมกัน และการแจกตัวอย่างสินค้า เพื่อสร้างการรับรู้ และกระตุ้นให้ผู้บริโภคได้ทดลองดื่ม นายฐิติวุฒิ์กล่าว
สำหรับ เป๊ปซี่โกลด์ มีให้เลือก 3 ขนาด คือ แบบบรรจุกระป๋องขนาด 325 มล. และแบบบรรจุขวด ในขวดกริปขนาด 500 มล. และขวดธรรมดาขนาด 1.25 ลิตร
จิ๊กซอว์ตัวล่าสุดของ'เสริมสุข'
จาก ฐานเศรษฐกิจ
ในที่สุดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป๊ปซี่ ประเทศไทย และเสริมสุข ก็จัดแจงนำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ประเภทน้ำผลไม้ 10% นามว่า "ทรอปิคาน่า ทวิสเตอร์" ออกมาเปิดตัว พร้อมกับประกาศวางตลาดอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 กรกฎาคม 2549 ซึ่งในงานเปิดตัว ท่านผู้บริหาร "สมชาย บุลสุข" ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) พูดบนเวทีเลยว่า "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" เป็น "จิ๊กซอ" สำคัญตัวหนึ่งของเสริมสุข ตามนโยบายการขยายไลน์สินค้าเครื่องดื่มให้ครบวงจร (Total Full Line Beverage) และการทำให้จุดขายของเสริมสุขกลายเป็น One Stop Service ที่มีสินค้าครบถ้วนไว้บริการ
นอกจากเป้าหมายในการเป็น Total Full Line Beverage แล้ว ด้วยเหตุผลทางธุรกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การใช้ต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง "ฐิติวุฒิ์ บุลสุข" ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ของเสริมสุข บอกเลยว่า เสริมสุขมี Fix Cost ทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน วัตถุดิบในการผลิต หรือหน่วยกระจายสินค้า ซึ่งหากใช้ทุกอย่างให้คุ้ม ทั้งรถกระจายสินค้า ทั้งการวัตถุดิบในการผลิต ด้วยการมีสินค้าหลายๆ ไลน์ หลายๆ แบบ มันก็น่าจะส่งผลดีต่อการบริหารต้นทุนในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ เพราะมันมีผลดีอยู่แล้วทั้งการใช้ต้นทุนแบบคุ้มค่า และการทำตลาดแบบครอบคลุม ส่วนถ้าขายดีแล้วต้องเพิ่มต้นทุนขึ้นไปอีก เรื่องนั้นก็ถือเป็นผลพลอยได้ไปแล้วกัน
สำหรับ "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" นั้น มีเป้าหมายที่จะเปิดตลาดในเมืองไทยตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว แต่ด้วยบทเรียนทางธุรกิจ จากเครื่องดื่มนมถั่วเหลือง "โย" ที่เสริมสุขเคยไปซื้อหุ้นมาจากบริษัท โย เฮียบเส็ง ประเทศมาเลเซีย และนำมาทำตลาดในเมืองไทยเมื่อ 3-4 ปีก่อน ไม่ประสบความสำเร็จ เสริมสุขเลยเพิ่มความพิถีพิถัน และความละเอียดในการออกโปรดักส์ใหม่ๆ แต่ละครั้งมากขึ้น ผลปรากฎว่า "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" เลยต้องเลื่อนมาวางตลาดกลางเดือนกรกฎาคมนี่เอง
ความพร้อมที่สมบูรณ์แบบตามที่ผู้บริหารเสริมสุขวางไว้ คือ ความพร้อมในทุกกระบวนท่า ทั้ง ตัวแพคเกจจิ้ง ที่ดีไซน์ขวดทั้งแบบแก้ว แบบเพ็ท ออกมาในรูปแบบของ Twister มีบิด มีเกลียว ดูโมเดิร์น ส่วนตัวโปรดักส์เอง ก็วิเคราะห์วิจัย ทดสอบกันมาเต็มที่ เพื่อให้รสชาติถูกปากคนไทยที่สุด ส่วนการตลาดก็วางแผนกระจายสินค้าอย่างเป็นระบบ "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" แบบขวดแก้ว จะวางจำหน่ายเฉพาะเทรดดิชั่นนอล เทรด ส่วนขวดเพ็ทจะขายในโมเดิร์น เทรด กระจายสินค้ากันแบบอลังการจากหน่วยรถ 1,500 คัน และร้านค้ากว่า 2.5 แสนร้านค้าแถมด้วยการทำกิจกรรมการตลาดแบบเต็มรูปแบบด้วยงบกว่า 30 ล้านบาท เน้นสื่อที่โมเดิร์นเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และแจกเครื่องดื่ม "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" ให้ผู้บริโภคได้ลองเทสต์กันทีเดียว 1.5 ล้านขวด
ด้วยกลยุทธ์การต่อ "จิ๊กซอธุรกิจ" เพื่อให้เสริมสุขกลายเป็นบริษัท Total Full Line Beverage การมีเพียงแค่น้ำอัดลม น้ำดื่ม น้ำผลไม้ รวมทั้งเป็นผู้กระจายสินค้าให้คาราบาวแดง และชาเขียวโออิชิ เท่านั้น รู้สึกว่าจะยังไม่ได้มาตรฐานการเป็นบริษัท Total Full Line Beverage เพราะเสริมสุขกำลังวางแผนต่อยอดจิ๊กซอเพิ่มขึ้นอีก จากความล้มเหลวจากเครื่องดื่มนมถั่วเหลือง "โย" ไม่ได้ทำให้เสริมสุขย่อท้อ เพราะเร็วๆ นี้คงได้เห็นเสริมสุขนำ "โย" กลับมาทำตลาดใหม่ ส่วนจะเป็นแบรนด์อะไร คงต้องติดตามกันต่อไปอีกนิด
นอกจากเครื่องดื่มประเภทนมถั่วเหลืองแล้ว ยังไม่พอ สำหรับ "จิ๊กซอ" ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือของเสริมสุข เพราะเมื่อหลายปีก่อน เสริมสุขเคยผลิต "Club Soda / Club Ginger Ale / Club Tonic " เครื่องดื่มประเภทมิกเซอร์โซดามาแล้ว แต่ก็เลิกทำตลาดไปนานพอสมควร ตอนนี้ผู้บริหารเสริมสุข กำลังจะนำมิกเซอร์โซดา กลับมาทำตลาดอีกครั้ง ซึ่งคาดเดาว่า น่าจะมาในแบรนด์ของ "คริสตัล" น้ำดื่ม ที่ขณะนี้ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 รองจากน้ำดื่มตราสิงห์แล้ว เพราะถ้าพิจารณากันในนาทีนี้ ความแกร่งของแบรนด์ "คริสตัล" น่าจะช่วยเสริมศักยภาพในการทำตลาดให้เครื่องดื่มตัวใหม่ในไลน์มิกเซอร์โซดาของเสริมสุขได้ดี
ที่สำคัญความพิถีพิถันในการเลือกไลน์เครื่องดื่มเพื่อทำตลาดของเสริมสุข ไม่ใช่แค่คิดอยากจะวางก็วาง อยากจะทำก็ทำ เพราะอย่างที่บอก เขาเจ็บตัวมาแล้ว ดังนั้น การระวังตัวย่อมมีเพิ่มมากขึ้น ดูจากตลาดที่เสริมสุขเลือกลง อย่างนมถั่วเหลือง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีกำหนดการเปิดตลาดชัดเจน (คาดว่ากำลังศึกษาตลาดอย่างเต็มที่) มีมูลค่าตลาดประมาณ 5,200 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ในขณะที่โซดา มีตลาดรวมอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท พอๆ กับน้ำผลไม้ อัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 20% เช่นกัน จะมีก็แต่ปีที่แล้ว ที่ตัวเลขลดลงเหลือเพียง 4-5% ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจ และการรณรงค์เรื่องการดื่มสุราของภาครัฐ แต่จากมูลค่าตลาดรวม และคู่แข่งในตลาด ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวที่เป็นเจ้าหลัก คือ โซดาสิงห์ ที่ครองส่วนแบ่งอยู่ถึง 97% ทำไมล่ะ...ทำไมเสริมสุขจะไม่อยากทดลองลงเล่นในตลาดนี้บ้าง
ลองมารอดูกันว่า "จิ๊กซอ" ตัวล่าสุด แต่ยังไม่ใช่ จิ๊กซอ" ตัวสุดท้ายของเสริมสุข จะเป็นอะไร และจะมีความแม่นยำในตลาดมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ต้องติดตาม...
จาก ฐานเศรษฐกิจ
ในที่สุดเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา เป๊ปซี่ ประเทศไทย และเสริมสุข ก็จัดแจงนำเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ ประเภทน้ำผลไม้ 10% นามว่า "ทรอปิคาน่า ทวิสเตอร์" ออกมาเปิดตัว พร้อมกับประกาศวางตลาดอย่างเป็นทางการในวันที่ 17 กรกฎาคม 2549 ซึ่งในงานเปิดตัว ท่านผู้บริหาร "สมชาย บุลสุข" ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) พูดบนเวทีเลยว่า "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" เป็น "จิ๊กซอ" สำคัญตัวหนึ่งของเสริมสุข ตามนโยบายการขยายไลน์สินค้าเครื่องดื่มให้ครบวงจร (Total Full Line Beverage) และการทำให้จุดขายของเสริมสุขกลายเป็น One Stop Service ที่มีสินค้าครบถ้วนไว้บริการ
นอกจากเป้าหมายในการเป็น Total Full Line Beverage แล้ว ด้วยเหตุผลทางธุรกิจที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การใช้ต้นทุนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง "ฐิติวุฒิ์ บุลสุข" ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ของเสริมสุข บอกเลยว่า เสริมสุขมี Fix Cost ทุกอย่างอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน วัตถุดิบในการผลิต หรือหน่วยกระจายสินค้า ซึ่งหากใช้ทุกอย่างให้คุ้ม ทั้งรถกระจายสินค้า ทั้งการวัตถุดิบในการผลิต ด้วยการมีสินค้าหลายๆ ไลน์ หลายๆ แบบ มันก็น่าจะส่งผลดีต่อการบริหารต้นทุนในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ เพราะมันมีผลดีอยู่แล้วทั้งการใช้ต้นทุนแบบคุ้มค่า และการทำตลาดแบบครอบคลุม ส่วนถ้าขายดีแล้วต้องเพิ่มต้นทุนขึ้นไปอีก เรื่องนั้นก็ถือเป็นผลพลอยได้ไปแล้วกัน
สำหรับ "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" นั้น มีเป้าหมายที่จะเปิดตลาดในเมืองไทยตั้งแต่ 6 เดือนที่แล้ว แต่ด้วยบทเรียนทางธุรกิจ จากเครื่องดื่มนมถั่วเหลือง "โย" ที่เสริมสุขเคยไปซื้อหุ้นมาจากบริษัท โย เฮียบเส็ง ประเทศมาเลเซีย และนำมาทำตลาดในเมืองไทยเมื่อ 3-4 ปีก่อน ไม่ประสบความสำเร็จ เสริมสุขเลยเพิ่มความพิถีพิถัน และความละเอียดในการออกโปรดักส์ใหม่ๆ แต่ละครั้งมากขึ้น ผลปรากฎว่า "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" เลยต้องเลื่อนมาวางตลาดกลางเดือนกรกฎาคมนี่เอง
ความพร้อมที่สมบูรณ์แบบตามที่ผู้บริหารเสริมสุขวางไว้ คือ ความพร้อมในทุกกระบวนท่า ทั้ง ตัวแพคเกจจิ้ง ที่ดีไซน์ขวดทั้งแบบแก้ว แบบเพ็ท ออกมาในรูปแบบของ Twister มีบิด มีเกลียว ดูโมเดิร์น ส่วนตัวโปรดักส์เอง ก็วิเคราะห์วิจัย ทดสอบกันมาเต็มที่ เพื่อให้รสชาติถูกปากคนไทยที่สุด ส่วนการตลาดก็วางแผนกระจายสินค้าอย่างเป็นระบบ "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" แบบขวดแก้ว จะวางจำหน่ายเฉพาะเทรดดิชั่นนอล เทรด ส่วนขวดเพ็ทจะขายในโมเดิร์น เทรด กระจายสินค้ากันแบบอลังการจากหน่วยรถ 1,500 คัน และร้านค้ากว่า 2.5 แสนร้านค้าแถมด้วยการทำกิจกรรมการตลาดแบบเต็มรูปแบบด้วยงบกว่า 30 ล้านบาท เน้นสื่อที่โมเดิร์นเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และแจกเครื่องดื่ม "ทรอปิคานา ทวิสเตอร์" ให้ผู้บริโภคได้ลองเทสต์กันทีเดียว 1.5 ล้านขวด
ด้วยกลยุทธ์การต่อ "จิ๊กซอธุรกิจ" เพื่อให้เสริมสุขกลายเป็นบริษัท Total Full Line Beverage การมีเพียงแค่น้ำอัดลม น้ำดื่ม น้ำผลไม้ รวมทั้งเป็นผู้กระจายสินค้าให้คาราบาวแดง และชาเขียวโออิชิ เท่านั้น รู้สึกว่าจะยังไม่ได้มาตรฐานการเป็นบริษัท Total Full Line Beverage เพราะเสริมสุขกำลังวางแผนต่อยอดจิ๊กซอเพิ่มขึ้นอีก จากความล้มเหลวจากเครื่องดื่มนมถั่วเหลือง "โย" ไม่ได้ทำให้เสริมสุขย่อท้อ เพราะเร็วๆ นี้คงได้เห็นเสริมสุขนำ "โย" กลับมาทำตลาดใหม่ ส่วนจะเป็นแบรนด์อะไร คงต้องติดตามกันต่อไปอีกนิด
นอกจากเครื่องดื่มประเภทนมถั่วเหลืองแล้ว ยังไม่พอ สำหรับ "จิ๊กซอ" ที่มีอยู่อย่างเหลือเฟือของเสริมสุข เพราะเมื่อหลายปีก่อน เสริมสุขเคยผลิต "Club Soda / Club Ginger Ale / Club Tonic " เครื่องดื่มประเภทมิกเซอร์โซดามาแล้ว แต่ก็เลิกทำตลาดไปนานพอสมควร ตอนนี้ผู้บริหารเสริมสุข กำลังจะนำมิกเซอร์โซดา กลับมาทำตลาดอีกครั้ง ซึ่งคาดเดาว่า น่าจะมาในแบรนด์ของ "คริสตัล" น้ำดื่ม ที่ขณะนี้ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นอันดับ 2 รองจากน้ำดื่มตราสิงห์แล้ว เพราะถ้าพิจารณากันในนาทีนี้ ความแกร่งของแบรนด์ "คริสตัล" น่าจะช่วยเสริมศักยภาพในการทำตลาดให้เครื่องดื่มตัวใหม่ในไลน์มิกเซอร์โซดาของเสริมสุขได้ดี
ที่สำคัญความพิถีพิถันในการเลือกไลน์เครื่องดื่มเพื่อทำตลาดของเสริมสุข ไม่ใช่แค่คิดอยากจะวางก็วาง อยากจะทำก็ทำ เพราะอย่างที่บอก เขาเจ็บตัวมาแล้ว ดังนั้น การระวังตัวย่อมมีเพิ่มมากขึ้น ดูจากตลาดที่เสริมสุขเลือกลง อย่างนมถั่วเหลือง ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีกำหนดการเปิดตลาดชัดเจน (คาดว่ากำลังศึกษาตลาดอย่างเต็มที่) มีมูลค่าตลาดประมาณ 5,200 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ในขณะที่โซดา มีตลาดรวมอยู่ที่ 5,000 ล้านบาท พอๆ กับน้ำผลไม้ อัตราเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 20% เช่นกัน จะมีก็แต่ปีที่แล้ว ที่ตัวเลขลดลงเหลือเพียง 4-5% ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพเศรษฐกิจ และการรณรงค์เรื่องการดื่มสุราของภาครัฐ แต่จากมูลค่าตลาดรวม และคู่แข่งในตลาด ซึ่งมีอยู่เพียงรายเดียวที่เป็นเจ้าหลัก คือ โซดาสิงห์ ที่ครองส่วนแบ่งอยู่ถึง 97% ทำไมล่ะ...ทำไมเสริมสุขจะไม่อยากทดลองลงเล่นในตลาดนี้บ้าง
ลองมารอดูกันว่า "จิ๊กซอ" ตัวล่าสุด แต่ยังไม่ใช่ จิ๊กซอ" ตัวสุดท้ายของเสริมสุข จะเป็นอะไร และจะมีความแม่นยำในตลาดมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้ต้องติดตาม...
อิๆๆๆ ฝรั่งที่บอกผมเค้าอยู่เมืองไทย มีเมียไทยด้วยครับ
เวอร์ชั่นของ ดร.เดมมิ่งเค้าว่า
"In God we trust, all others bring data." -- Dr. W. Edwards Deming 1900-1993,
หมายถึงเค้าไม่เชื่อการทึกทักขึ้นเองโดยไม่มีข้อมูลครับ
ยกตัวอย่าง สมมุติฐานกีฬาทำให้เครื่องดื่มเกลือแร่ขายดี
ก็ต้องทดสอบครับว่าการเล่นกีฬากับยอดขายเครื่องดื่มนั้นมันมี Correlationกันกี่ % .. พูดอีกอย่างหนึ่งคนเล่นกีฬาแล้วดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่กี่ %
ถ้าคุณเอง เล่นกีฬาแล้วดื่ม ... ข้อมูลที่คุณมีจะ represent ตัวคุณเอง 1 คน แต่คุณก็ไม่สามารถเอาความจริงนี้ไปอนุมานว่าคนทั้งโลกต้องคิดเหมือนคุณได้ครับ ในกรณีต้องการอนุมานทางสถิติ คุณก็ต้องมีประชากร มีสมมุติฐาน มีกลุ่มตัวอย่าง และมีการวิเคราะห์ข้อมูล จึงจะพอเชื่อได้ว่าเป็นจริงหรือไม่
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมีระดับความเชื่อมั่นว่ามั่นใจกี่ %
ท่านทักษิณบอกว่าอยากให้สังคมไทยเป็นสังคมความรู้ ไม่ใช่ความรู้สึก
ให้เอาประโยคที่ว่านี้ไปใช้ได้เลยครับ โดนเป็นอันมาก
พอดีกว่าครับ เข้าเรื่องน้ำดำดีกว่า
เวอร์ชั่นของ ดร.เดมมิ่งเค้าว่า
"In God we trust, all others bring data." -- Dr. W. Edwards Deming 1900-1993,
หมายถึงเค้าไม่เชื่อการทึกทักขึ้นเองโดยไม่มีข้อมูลครับ
ยกตัวอย่าง สมมุติฐานกีฬาทำให้เครื่องดื่มเกลือแร่ขายดี
ก็ต้องทดสอบครับว่าการเล่นกีฬากับยอดขายเครื่องดื่มนั้นมันมี Correlationกันกี่ % .. พูดอีกอย่างหนึ่งคนเล่นกีฬาแล้วดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่กี่ %
ถ้าคุณเอง เล่นกีฬาแล้วดื่ม ... ข้อมูลที่คุณมีจะ represent ตัวคุณเอง 1 คน แต่คุณก็ไม่สามารถเอาความจริงนี้ไปอนุมานว่าคนทั้งโลกต้องคิดเหมือนคุณได้ครับ ในกรณีต้องการอนุมานทางสถิติ คุณก็ต้องมีประชากร มีสมมุติฐาน มีกลุ่มตัวอย่าง และมีการวิเคราะห์ข้อมูล จึงจะพอเชื่อได้ว่าเป็นจริงหรือไม่
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมีระดับความเชื่อมั่นว่ามั่นใจกี่ %
ท่านทักษิณบอกว่าอยากให้สังคมไทยเป็นสังคมความรู้ ไม่ใช่ความรู้สึก
ให้เอาประโยคที่ว่านี้ไปใช้ได้เลยครับ โดนเป็นอันมาก
พอดีกว่าครับ เข้าเรื่องน้ำดำดีกว่า
กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเงินได้ลดลงจากปีก่อน 51.9 ล้านบาท หรือร้อยละ 7.3 ประกอบ
กับผลขาดทุนจากการจำหน่ายหุ้นบริษัท เสริมสุข เบเวอร์เรจ จำกัดที่บริษัทฯ ถืออยู่ให้กับบริษัท เสริมสุข
โฮลดิ้งส์ จำกัด เพื่อปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัทย่อยของบริษัทฯ รายละเอียดแจ้งแล้วนั้น ทำให้
ภาษีเงินได้ประจำปีลดต่ำลง
กับผลขาดทุนจากการจำหน่ายหุ้นบริษัท เสริมสุข เบเวอร์เรจ จำกัดที่บริษัทฯ ถืออยู่ให้กับบริษัท เสริมสุข
โฮลดิ้งส์ จำกัด เพื่อปรับโครงสร้างการถือหุ้นในบริษัทย่อยของบริษัทฯ รายละเอียดแจ้งแล้วนั้น ทำให้
ภาษีเงินได้ประจำปีลดต่ำลง
ชอบมากเหมือนกันครับ ตั้งแต่เค้าปรับปรุงรสชาติใหม่ แข่งกับ coke zeronoooon010 เขียน:ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมามีใครสังเกตุไหมครับว่า
Pepsi Max ชนิด ขวดขนาด 1.25 ลิตร หายากมากๆครับ
ไป lotus ตรงข้าม central ลาดพร้าว
2 อาทิตย์ก่อน หมด
1 อาทิตย์ก่อน เหลือ 5 ขวด
เมื่อวานไป คาร์ฟู ไม่มี
ถาม 7-11 กะร้านสะดวกซื้อหน้าซอย
เค้าบอกว่า มันขาดตลาด
...งง อ่ะครับ
ผมคิดไปเองว่า เป็นเพราะเค้าจะทำขวดใหม่ไหม
เพราะสีดำ มันซ้ำกับ coke zero.... อ่ะครับ
ใครทราบสาเหตุช่วยบอกทีนะครับ
ขอบคุณครับ (ผมชอบดื่ม pepsi max ครับ )
กินวันละเกือบ 800 cc ได้
ผมคิดว่าเป็นเพราะมี promotion น่ะครับ ผมเห็น 2 ที่เมื่อ 1-2 เดือนที่ผ่านมา
1.25 ลิตร 2 ขวด 40 - 42 บาท
Re: SSC
11:38AM วันนี้ 21 พฤษภาคม
ซิลลิ่งไปแล้วครับ BID ปิดไปอีก 21,200 หุ้นที่ 90.50 บาท
รู้แต่ว่าน้ำดื่ม "คริสตัล" ขายดีจริงๆ หลัง 1 พฤศจิกายนนี้ เสริมสุขก็จะเป็นอิสระเต็มที่แล้ว คงต้องลุ้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ว่าแต่สภาพคล่องนี่น้อยมากๆครับ เพิ่งเห็นวันนี้ละครับที่มี BID ตั้งสองหมื่นกว่าหุ้น
ซิลลิ่งไปแล้วครับ BID ปิดไปอีก 21,200 หุ้นที่ 90.50 บาท
รู้แต่ว่าน้ำดื่ม "คริสตัล" ขายดีจริงๆ หลัง 1 พฤศจิกายนนี้ เสริมสุขก็จะเป็นอิสระเต็มที่แล้ว คงต้องลุ้นว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป
ว่าแต่สภาพคล่องนี่น้อยมากๆครับ เพิ่งเห็นวันนี้ละครับที่มี BID ตั้งสองหมื่นกว่าหุ้น
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
Re: SSC
ถ้ารักจะลงทุนในเสริมสุขนี่ต้องระวังเรื่องสภาพคล่องหน่อยเพราะมีอยู่ในมือรายย่อยแค่ 2.66% เท่านั้น
พลาดพลั้งมาอาจไม่มี BID มารอรับเลย สิ่งที่ผมสนใจใน SSC มีบางประเด็น ดังนี้
1) ผลประกอบการไตรมาสหนึ่งดีขึ้นแบบไม่ได้อาศัยกำไรพิเศษ
2) ปีนี้เป็นปีแรกที่ตลาดน้ำอัดลมกลับมาขยายตัว ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 10% จาก 36000 ล้าน มาเป็น 40000 ล้าน
3) ในวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เสริมสุขแจ้งตลาดหลักทรัพย์สองเรื่อง หนึ่งคือ เสริมสุขจะจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ เสริมสุขเทรนนิ่ง เพื่อทำการพัฒนาบุคคลากร และ สองบริษัทได้จัดตั้ง บริษัทชื่อ
GREAT BRANDS ที่ฮ่องกง เพื่อทำการบริหาร BRAND ของเสริมสุขทั่วโลก และ ทำการค้าอื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัท
ประเด็นข้อสามนี้ แสดงให้เห็นว่าทางเสริมสุขคงเอาจริงแน่ในการขยายธุรกิจ แต่ทั้งนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะตามมาด้วยเช่นกัน
ความเสี่ยง
1) การออกตลาดโลก ต้องแข่งขันกับ Global Brands อย่าง Coke/Pepsi ที่มีทุน และ ประสพการณ์อันยาวนาน
2) การสร้างแบรนด์ใหม่ต้องใช้เงินในการโฆษณามาก อาจทำให้กำไรไม่โตมากในปีแรกๆ
3) ผลิตภัณฑ์ใหม่ของเสิมสุขที่จะ Launch หลังจากหมดสัญญากับ PEPSI นั้นจะโดนใจตลาดขนาดไหน ยังไม่มีใครบอกได้
ตอนนี้ เสริมสุขมีเงินสดพร้อมใช้ประมาณ 1200 ล้าน เพียงแค่ทำเม็ดเงินนี้ให้เกิดประโยชน์ได้ปีละ 15% จะทำให้เสริมสุขกำไรเพิ่มขึ้นปีละ 180 ล้านบาท จากกำไรปกติในสี่ปีย้อนหลังที่
อยู่แค่ 300 - 400 ล้านบาท อันนี้ยังไม่รวมการเติบโตในปีนี้ และ ยังไม่รวมการ Launch สินค้าใหม่ที่อาจมีขึ้นได้ในอนาคต แต่ถ้าเสริมสุขเกิดใช้เงินแบบทิ้งๆขว้างๆ
ประเภทซื้อ Ads แพง ออก โฆษณาที่ไม่มีประสิทธิภาพ จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำได้อย่างรวดเร็ว เงินเป็นพันล้านอาจหมดได้ในเวลาอันสั้น
สำหรับผมคงจะติดตามเรื่องราวของเขาต่อไป
สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า เราไม่ควรลงทุนอะไรที่เราไม่เข้าใจว่าบริษัทจะโตอย่างไร อย่าเชื่อใครง่ายๆ โดยเฉพาะท่านที่เป็นลูกจ้างเขา กว่าจะได้เงินเดือนมา นอนดึกตื่นเช้า โดนลูกค้าด่า
โดนเจ้านายบ่น อีกทั้งต้องทนรถติด กว่าจะได้เงินเดือนมา และ กว่าจะเหลือเอามาลงทุน จะเอาอะไรกับคนที่ท่านยังไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยพูดจา เพียงแค่ว่าเห็นข้อความของเขาบนwebboard
พลาดพลั้งมาอาจไม่มี BID มารอรับเลย สิ่งที่ผมสนใจใน SSC มีบางประเด็น ดังนี้
1) ผลประกอบการไตรมาสหนึ่งดีขึ้นแบบไม่ได้อาศัยกำไรพิเศษ
2) ปีนี้เป็นปีแรกที่ตลาดน้ำอัดลมกลับมาขยายตัว ถ้าจำไม่ผิดประมาณ 10% จาก 36000 ล้าน มาเป็น 40000 ล้าน
3) ในวันที่ 8 มิถุนายน 2555 เสริมสุขแจ้งตลาดหลักทรัพย์สองเรื่อง หนึ่งคือ เสริมสุขจะจัดตั้งบริษัทใหม่ชื่อ เสริมสุขเทรนนิ่ง เพื่อทำการพัฒนาบุคคลากร และ สองบริษัทได้จัดตั้ง บริษัทชื่อ
GREAT BRANDS ที่ฮ่องกง เพื่อทำการบริหาร BRAND ของเสริมสุขทั่วโลก และ ทำการค้าอื่นๆที่เป็นประโยชน์ต่อบริษัท
ประเด็นข้อสามนี้ แสดงให้เห็นว่าทางเสริมสุขคงเอาจริงแน่ในการขยายธุรกิจ แต่ทั้งนี้ก็มีความเสี่ยงที่จะตามมาด้วยเช่นกัน
ความเสี่ยง
1) การออกตลาดโลก ต้องแข่งขันกับ Global Brands อย่าง Coke/Pepsi ที่มีทุน และ ประสพการณ์อันยาวนาน
2) การสร้างแบรนด์ใหม่ต้องใช้เงินในการโฆษณามาก อาจทำให้กำไรไม่โตมากในปีแรกๆ
3) ผลิตภัณฑ์ใหม่ของเสิมสุขที่จะ Launch หลังจากหมดสัญญากับ PEPSI นั้นจะโดนใจตลาดขนาดไหน ยังไม่มีใครบอกได้
ตอนนี้ เสริมสุขมีเงินสดพร้อมใช้ประมาณ 1200 ล้าน เพียงแค่ทำเม็ดเงินนี้ให้เกิดประโยชน์ได้ปีละ 15% จะทำให้เสริมสุขกำไรเพิ่มขึ้นปีละ 180 ล้านบาท จากกำไรปกติในสี่ปีย้อนหลังที่
อยู่แค่ 300 - 400 ล้านบาท อันนี้ยังไม่รวมการเติบโตในปีนี้ และ ยังไม่รวมการ Launch สินค้าใหม่ที่อาจมีขึ้นได้ในอนาคต แต่ถ้าเสริมสุขเกิดใช้เงินแบบทิ้งๆขว้างๆ
ประเภทซื้อ Ads แพง ออก โฆษณาที่ไม่มีประสิทธิภาพ จะเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำได้อย่างรวดเร็ว เงินเป็นพันล้านอาจหมดได้ในเวลาอันสั้น
สำหรับผมคงจะติดตามเรื่องราวของเขาต่อไป
สุดท้ายนี้ขอฝากไว้ว่า เราไม่ควรลงทุนอะไรที่เราไม่เข้าใจว่าบริษัทจะโตอย่างไร อย่าเชื่อใครง่ายๆ โดยเฉพาะท่านที่เป็นลูกจ้างเขา กว่าจะได้เงินเดือนมา นอนดึกตื่นเช้า โดนลูกค้าด่า
โดนเจ้านายบ่น อีกทั้งต้องทนรถติด กว่าจะได้เงินเดือนมา และ กว่าจะเหลือเอามาลงทุน จะเอาอะไรกับคนที่ท่านยังไม่เคยเห็นหน้า ไม่เคยพูดจา เพียงแค่ว่าเห็นข้อความของเขาบนwebboard
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
Re: SSC
October เขียน:ขอบคุณคำเตือนของท่านคนขายของ ในเรื่องสภาพคล่องครับ ว่าแต่ อีก post ของท่านที่มี link หายไปไหนอะครับ
ผมได้อ่านที่หน้า 33 ---แสดงว่า % กำไรใน Q2&3 ก็จะสูงขึ้นอีก อันเนื่องจากต้นทุนหัวเชื้อลดลง อีก 8.61%
4.4 ผลกระทบจากการปรับต้นทุนค่าหัวเชื้อภายใต้สัญญา EBA ต่อผลการดำเนินงานของบริษัทฯในระหว่าง 1
เมษายน 2555 ถึง 1 พฤศจิกายน 2555
ให้บริษัทฯ และกลุ่มเป๊ปซี่ดำเนินการขยายระยะเวลาวันที่การเลิกสัญญา EBA ฉบับปัจจุบันมีผลโดยขยายออกไปอีก 7เดือน โดยสิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญาเป็นไปตามสัญญา EBA เว้นแต่กำหนดให้มีการลดราคาค่าหัวน้ำเชื้อลงประมาณร้อยละ 8.61 ก่อนหักส่วนลด (หรือเท่ากับร้อยละ 8.80 หลังจากหักส่วนลด) จากราคาภายใต้สัญญา EBA
ซึ่งการลดลงค่าใช้จ่ายดังกล่าวจะมีผลให้อัตรากำไรของบริษัทฯ ในปี 2555 ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากต้นทุนค่าใช้จ่ายค่าหัวน้ำเชื้อถือเป็นต้นทุนที่มีสัดส่วนสำคัญในโครงสร้างต้นทุนของบริษัทฯอย่างไรก็ตาม ทางที่ปรึกษาทางการเงินอิสระขอตั้งข้อสังเกตว่าการปรับตัวดีขึ้นจากการ
ปรับลดค่าใช้จ่ายค่าหัวน้ำเชื้อดังกล่าวจะกระทบผลกำไรของบริษัทฯ ในปี 2555 เท่านั้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะไม่กระทบต่อ
ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ภายหลังจากที่บริษัทฯยกเลิกสัญญา EBA กับPepsiCo Group ในวันที่ 1 พฤศจิกายน
2555
ความเห็นส่วนตัว
อย่างไรก็ตาม ในQ4 หัวเชื้อที่SSCใช้น่าจะมีราคาถูกมากกว่า Q2&3 เนื่องจากไม่ได้ซื้อจาก PEPSI อีกต่อไปเป็นผลให้ %margin ยิ่งสูงขึ้นไปอีก แต่ยอดขายจะได้มากแค่ไหนก็ต้องดูกันต่อครับ
ผมมีโอกาสคุยกับทีมงานเสริมสุขเมื่อไม่กี่วันมานี้เห้นว่า
- เตรียมผลิตน้ำดำเต็มที่หลังจากหมดสัญญา โดยเน้น รง. ที่ ปทุมและบางปะกงก่อนเนื่องจากโซนกลาง ปริมณทลเป็นพื้นที่ ที่ลูกค้าอยู่หนาแน่นที่สุดและง่ายต่อการเข้าถึงลูกค้าด้วยต้นทุนขนส่งต่ำสุด หลังจากนั้นค่อยขยายสู่เขตต่างจังหวัด
-มีการปรับปรุง เปลี่ยนแปลงและเพิ่มเติม กำลังการผลิตใน รง.ทั้ง 5โรง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เข้าใจว่าน่าจะมีการ แจ้งต่อสาธารณะ ในเร็ว1-2เดือนนี้
-เรื่องขวดพลาสติกอย่างบาง น่าจะต้องถูกพัฒนาก่อนนำมาใช้เนื่องจากพบจุดอ่อนหลายประการของผู้ที่ใช้อยู่เช่น
-ตอนเปิด มีแรงอัดไนโตรเจนและน้ำพุงออกมา ทำให้หกหรือกระฉอกได้ง่าย
-หากseal ไม่ดีเนื่องจากเก็บไว้นาน อาจทำให้ลมรั่วออก แล้วแพ็คขวดที่ซ้อนกันอาจโค่นลงมาได้
-เนื่องจากอ่อนปวกเปียกจึงไม่สะดวกในการพกพาเช่นดื่มบนรถ หรือดื่มขณะขี่จักยาน
คงต้องรอการเปิดตัวเร็วๆนี้ว่าจะทำได้ดั่งที่วางแผนไว้หรือไม่ครับ
ขอบคุณ คุณ October ครับที่นำข้อมูล update มาฝากกัน Link ที่ผม post เกี่ยวกับ "ความเห็นของที่ปรึกษาทางการเงินต่อการเข้าซื้อกิจการของเสริมสุข" อยู่ในห้อง OISHI ครับ
เรื่องของขวดพลาสติกอย่างบางที่ว่ารักโลกนั้นผมก็ได้ยินมาเหมือนกันว่ายังมีปัญหาอยู่ คงต้องอีกสักพักกว่าจะนิ่ง
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
Re: SSC
ใช่ครับ ผมว่าโออิชิขวดแก้วคงอีกไม่นาน เพราะคุณแมธทิวก็เคยพูดถึงเรื่อง retuanable package ตอนมา Opp Day ผมก็รอดูอยู่ครับว่าตลาดจะตอบรับขนาดไหน
เท่าที่ทราบบรรจุภัณฑ์แก้วได้เปรียบเรื่องต้นทุน ตอนนี้ของขาดอย่างหนัก ผู้ผลิตขวดแก้วในประเทศทำไม่ทัน
เท่าที่ทราบบรรจุภัณฑ์แก้วได้เปรียบเรื่องต้นทุน ตอนนี้ของขาดอย่างหนัก ผู้ผลิตขวดแก้วในประเทศทำไม่ทัน
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน
Re: SSC
โออิชิล้ำขายชาเขียวคืนขวด
SOURCE: http://www.thaipost.net/news/080812/60684
เสริมสุข เล็งประเดิมขายชาเขียวคืนขวดให้โออิชิครั้งแรกในไทยผ่านช่องทางภัตตาคาร ร้านอาหาร หวังสร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการเครื่องดื่ม
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมเครื่องดื่มรายใหญ่ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัท เสริมสุข จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลมยี่ห้อ เป๊ปซี่ มิรินด้า และเซเว่นอัพ กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม เพื่อเริ่มจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชาเขียวจาก บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด ในบรรจุภัณฑ์ชนิดคืนขวดในเมืองไทยเป็นครั้งแรก ในช่องทางร้านภัตตาคารและร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี โดยในส่วนของโออิชิบรรจุภัณฑ์แบบคืนขวดนี้ คาดว่าจะพร้อมวางตลาดภายในไม่กี่วันนี้
ทั้งนี้ การจำหน่ายสินค้าในรูปแบบดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดขายให้กับชาเขียวโออิชิ และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการเครื่องดื่ม เนื่องจากที่ผ่านมาจะมีเพียงน้ำอัดลมและน้ำดื่มเท่านั้นที่มีบรรจุภัณฑ์แบบคืนขวดจำหน่ายในตลาด และสัดส่วนการขายสินค้าชนิดคืนขวดนี้ก็มีสัดส่วนสูงกว่าสินค้าในบรรจุภัณฑ์แบบไม่คืนขวด จึงทำให้บริษัทโออิชิสนใจเข้ามาทำตลาดสินค้าในรูปแบบดังกล่าว
“นี่จะเป็นสินค้าไฮไลต์ตัวแรกจากกลุ่มโออิชิที่พัฒนาออกสู่ตลาด เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของเสริมสุขในอนาคตโดยเฉพาะ นับเป็นการรุกครั้งแรก หลังจากนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในเสริมสุขในสองปีที่ผ่านมา” แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ รายงานข่าวยังแจ้งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาใหม่อีก 2 แห่ง คือบริษัท เสริมสุข เทรนนิ่ง จำกัด ในวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายใต้ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อพัฒนาบุคลากรและองค์กร ขณะที่บริษัท เกรท แบรนด์ ลิมิเต็ด จำกัด ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายใต้ทุนจดทะเบียน 1 ล้านเหรียญฮ่องกง เพื่อดูแลการบริหารแบรนด์ภายใต้บริษัทเสริมสุขทั่วโลก
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้มีการเปิดตัว ‘เสริมสุขลุคส์ใหม่’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘เติมสุข ทุกโอกาส’ เพื่อสื่อถึงวัฒนธรรมใหม่ขององค์กรที่เข้มแข็ง และสื่อถึงความพร้อมของเสริมสุขในการแสดงศักยภาพการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพ ขณะเดียวกันก็จะเดินหน้าปฏิบัติการ ‘เติมสุข ทุกโอกาส’ จากภายในสู่ภายนอก ด้วยการจัดกิจกรรมพลิกโฉมองค์กร เริ่มจากพนักงานกว่า 8,000 คน 5 โรงงาน เกือบ 50 สาขา รถลำเลียง รถขาย นอกจากนี้ บริษัทยังจะมีภาพยนตร์โฆษณาองค์กรออกอากาศเป็นครั้งแรกในวันที่ 9 ส.ค.นี้.
SOURCE: http://www.thaipost.net/news/080812/60684
เสริมสุข เล็งประเดิมขายชาเขียวคืนขวดให้โออิชิครั้งแรกในไทยผ่านช่องทางภัตตาคาร ร้านอาหาร หวังสร้างปรากฏการณ์ใหม่วงการเครื่องดื่ม
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมเครื่องดื่มรายใหญ่ เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัท เสริมสุข จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำอัดลมยี่ห้อ เป๊ปซี่ มิรินด้า และเซเว่นอัพ กำลังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม เพื่อเริ่มจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชาเขียวจาก บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด ในบรรจุภัณฑ์ชนิดคืนขวดในเมืองไทยเป็นครั้งแรก ในช่องทางร้านภัตตาคารและร้านอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาทต่อปี โดยในส่วนของโออิชิบรรจุภัณฑ์แบบคืนขวดนี้ คาดว่าจะพร้อมวางตลาดภายในไม่กี่วันนี้
ทั้งนี้ การจำหน่ายสินค้าในรูปแบบดังกล่าวถือเป็นการต่อยอดขายให้กับชาเขียวโออิชิ และสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับวงการเครื่องดื่ม เนื่องจากที่ผ่านมาจะมีเพียงน้ำอัดลมและน้ำดื่มเท่านั้นที่มีบรรจุภัณฑ์แบบคืนขวดจำหน่ายในตลาด และสัดส่วนการขายสินค้าชนิดคืนขวดนี้ก็มีสัดส่วนสูงกว่าสินค้าในบรรจุภัณฑ์แบบไม่คืนขวด จึงทำให้บริษัทโออิชิสนใจเข้ามาทำตลาดสินค้าในรูปแบบดังกล่าว
“นี่จะเป็นสินค้าไฮไลต์ตัวแรกจากกลุ่มโออิชิที่พัฒนาออกสู่ตลาด เพื่อรองรับการขยายธุรกิจของเสริมสุขในอนาคตโดยเฉพาะ นับเป็นการรุกครั้งแรก หลังจากนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในเสริมสุขในสองปีที่ผ่านมา” แหล่งข่าวกล่าว
นอกจากนี้ รายงานข่าวยังแจ้งว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) ได้มีการจัดตั้งบริษัทย่อยขึ้นมาใหม่อีก 2 แห่ง คือบริษัท เสริมสุข เทรนนิ่ง จำกัด ในวันที่ 5 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายใต้ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท เพื่อพัฒนาบุคลากรและองค์กร ขณะที่บริษัท เกรท แบรนด์ ลิมิเต็ด จำกัด ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายใต้ทุนจดทะเบียน 1 ล้านเหรียญฮ่องกง เพื่อดูแลการบริหารแบรนด์ภายใต้บริษัทเสริมสุขทั่วโลก
นายฐิติวุฒิ์ บุลสุข กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้มีการเปิดตัว ‘เสริมสุขลุคส์ใหม่’ ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘เติมสุข ทุกโอกาส’ เพื่อสื่อถึงวัฒนธรรมใหม่ขององค์กรที่เข้มแข็ง และสื่อถึงความพร้อมของเสริมสุขในการแสดงศักยภาพการนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพ ขณะเดียวกันก็จะเดินหน้าปฏิบัติการ ‘เติมสุข ทุกโอกาส’ จากภายในสู่ภายนอก ด้วยการจัดกิจกรรมพลิกโฉมองค์กร เริ่มจากพนักงานกว่า 8,000 คน 5 โรงงาน เกือบ 50 สาขา รถลำเลียง รถขาย นอกจากนี้ บริษัทยังจะมีภาพยนตร์โฆษณาองค์กรออกอากาศเป็นครั้งแรกในวันที่ 9 ส.ค.นี้.
อดทนไว้ กำไรยั่งยืน