ทำมัยคนไทยส่วนใหญ่ถึงมองหุ้นเป็นการพนัน
Re: ทำมัยคนไทยส่วนใหญ่ถึงมองหุ้นเป็นการพนัน
ออกอีกข้อดีไหมครับคุณ harryharry เขียน: แทนที่ ตลท. กับ ก.ล.ต. จะมาลดภาษีการลงทุนในกองทุนรวม น่าจะมาจัดอบรมสัมมนาความรู้เกี่ยวกับการลงทุน และออกกฎว่านักลงทุนต้องผ่านการอบรมและได้รับวุฒิบัตรจากหน่วยงานที่ได้รับการรับรองก่อน แม้แต่พวกผู้จัดการกองทุน ที่พี่ๆหลายคนที่ได้รู้จัก ยังบอกเลยว่าเล่นเก็งกำไร ซื้อแล้วหวังขึ้นเพื่อขายเอากำไรกัน ทำไมไม่มีใครลงทุนแบบเกรแฮม หรือบัฟเฟตต์กันเยอะๆๆ ทั้งที่สองคนนี้ก็ทำแบบนี้มาหลายสิบปีมากแล้ว และก็พิสูจน์แล้วว่าดีจริง
เซ็งๆๆๆๆๆ![]()
![]()
![]()
ซื้อแล้วห้ามขาย โอนให้ลูกหลานได้เท่านั้น
:lol:
ผมมีนิทานอยู่เรื่องหนึ่งขอยืมมากจาก Pantip ผมว่าเข้ากับกระทู้นี้ดีนะครับ เห็นเป็นประการใดช่วยแนะนำด้วย
ลุงหวังเล่าว่า
(ผมอยู่ตลาดหุ้น มานาน เมื่อก่อนตอนนั้นยังถือว่าวัยหนุ่มกลางคน ผมชอบจดข้อมูลหุ้นที่สนใจ เก็บสถิติย้อนหลังถึงผลดำเนินงาน ทุนจดทะเบียน ปันผล เทียบพี อี เทียบต้นทุนราคาหุ้น ฯลฯ เล่นหุ้นที่คิดว่าดีๆ หลายบริษัท จนมีโอกาสไปประชุมผู้ถือหุ้นและพบกับผู้บริหารระดับสูง จึงรู้ว่าเป็น ญาติห่างๆ ยิ่งรู้จักยิ่งซื้อหุ้นนั้นมากขึ้น บวกแรงเชียร์ทุกครั้งที่โทรไปคุยกับญาติ แต่ต่อมาบริษัทเพิ่มทุนแล้วก็ให้อีกบริษัทเข้าครอบงำกิจการไป ราคาหุ้นพังยับ ขาดทุน เงินที่เพิ่มทุนหายวับไป พอเมืองไทยเกิดต้มยำกุ้ง ฮ่องกงยังเฉยๆ แต่หุ้นบริษัทที่ลุงหวังถืออยู่เริ่มเล่นกล มีบางแห่งทำ จดหมายสีเขียว (กรีนเมล์) บางแห่งเล่นกลก่อนโดยเพิ่มทุนแล้วขายกิจการผ่านประตูหลัง ราคาหุ้นลงเรื่อยๆจนฟองสบู่ลามมาที่ฮ่องกง
ความเห็นของลุงหวังคือ เขาบอกว่าการเล่นหุ้นเหมือนการเล่นGames โดยเอาเงินเป็นเดิมพัน พูดไม่สุภาพคือการพนัน เมื่อคนครบวง เงินก็หมุนไปมา เมื่อมีคนเพิ่มขึ้น เงินก็ไหลเกลี่ยมาสู่คนที่โชคดีกว่าถ้าบวกฝีมือ ก็ยิ่งรวยขึ้น พอรวยแล้วหากคนนั้นๆเดินออกไปนอกวง เงินก็หายไปด้วย สุดท้ายเหลือคนจนๆ เล่นกับคนจนๆ 2 - 3 คน แล้วก็ทะเลาะกัน การเล่นก็เล่นยากขึ้นเพราะต่างก็ลงขันน้อย เพราะเงินถูก คนกำไรเอาไป ไม่หวนกลับมาแล้ว ลุงหวังกล่าวว่า หากใครคิดจะกำไรจากตลาดหุ้น ต้องรู้จักหยุด ละเว้น ออกไป เพราะการได้เงินมาจากระบบตลาดเป็นการได้มาแบบได้เปล่า ได้ด้วยดวง ได้ด้วยฝีมือบ้าง ไม่ใช่ภาคการผลิตแท้จริง ส่วนกำไรที่ได้จากตลาดหุ้นรวดเร็วกว่าภาคผลิต ดังนั้นเมื่อกำไรแล้วต้องรอเวลา ให้ภาคการผลิตสามารถผลิตทันขายใหม่ แปลง่ายๆคือ รอหมูตัวใหม่มาเข้าตลาดให้เชือดใหม่ อย่าตะบันแช่อยู่แต่ในตลาดหุ้นทุกวี่ทุกวัน ถ้าไม่มีงานอื่นทำก็ทำงานอดิเรกอื่นๆคลายเครียดดีกว่า)
การอ่านตลาดเป็นหมี เป็นกระทิงเป็นเรื่องสำคัญมาก
เราทั้งหลายมักคิดว่า ขายเสร็จได้ซื้อคืนในราคาที่ต่ำลงหน่อย เป็นชัยชนะน่าภาคภูมิ แต่หากทำบ่อยๆก็เจอกับหมีจนได้ แล้วสุดท้ายที่กำไรมาบานเบอะ ก็หายวับบานตะเกียงไป
ส่วนคนที่ต้นทุนต่ำๆ ก็ใจเย็นเพราะมีภูมิคุ้มกันต้นทุนอยู่ แต่เมื่อถึงจุดสูงๆแล้วไม่ขาย ก็ถือว่าเสียโอกาสกลายเป็นคนโง่เขลาได้เช่นกันนะจะบอกให้
ลุงหวังเล่าว่า
(ผมอยู่ตลาดหุ้น มานาน เมื่อก่อนตอนนั้นยังถือว่าวัยหนุ่มกลางคน ผมชอบจดข้อมูลหุ้นที่สนใจ เก็บสถิติย้อนหลังถึงผลดำเนินงาน ทุนจดทะเบียน ปันผล เทียบพี อี เทียบต้นทุนราคาหุ้น ฯลฯ เล่นหุ้นที่คิดว่าดีๆ หลายบริษัท จนมีโอกาสไปประชุมผู้ถือหุ้นและพบกับผู้บริหารระดับสูง จึงรู้ว่าเป็น ญาติห่างๆ ยิ่งรู้จักยิ่งซื้อหุ้นนั้นมากขึ้น บวกแรงเชียร์ทุกครั้งที่โทรไปคุยกับญาติ แต่ต่อมาบริษัทเพิ่มทุนแล้วก็ให้อีกบริษัทเข้าครอบงำกิจการไป ราคาหุ้นพังยับ ขาดทุน เงินที่เพิ่มทุนหายวับไป พอเมืองไทยเกิดต้มยำกุ้ง ฮ่องกงยังเฉยๆ แต่หุ้นบริษัทที่ลุงหวังถืออยู่เริ่มเล่นกล มีบางแห่งทำ จดหมายสีเขียว (กรีนเมล์) บางแห่งเล่นกลก่อนโดยเพิ่มทุนแล้วขายกิจการผ่านประตูหลัง ราคาหุ้นลงเรื่อยๆจนฟองสบู่ลามมาที่ฮ่องกง
ความเห็นของลุงหวังคือ เขาบอกว่าการเล่นหุ้นเหมือนการเล่นGames โดยเอาเงินเป็นเดิมพัน พูดไม่สุภาพคือการพนัน เมื่อคนครบวง เงินก็หมุนไปมา เมื่อมีคนเพิ่มขึ้น เงินก็ไหลเกลี่ยมาสู่คนที่โชคดีกว่าถ้าบวกฝีมือ ก็ยิ่งรวยขึ้น พอรวยแล้วหากคนนั้นๆเดินออกไปนอกวง เงินก็หายไปด้วย สุดท้ายเหลือคนจนๆ เล่นกับคนจนๆ 2 - 3 คน แล้วก็ทะเลาะกัน การเล่นก็เล่นยากขึ้นเพราะต่างก็ลงขันน้อย เพราะเงินถูก คนกำไรเอาไป ไม่หวนกลับมาแล้ว ลุงหวังกล่าวว่า หากใครคิดจะกำไรจากตลาดหุ้น ต้องรู้จักหยุด ละเว้น ออกไป เพราะการได้เงินมาจากระบบตลาดเป็นการได้มาแบบได้เปล่า ได้ด้วยดวง ได้ด้วยฝีมือบ้าง ไม่ใช่ภาคการผลิตแท้จริง ส่วนกำไรที่ได้จากตลาดหุ้นรวดเร็วกว่าภาคผลิต ดังนั้นเมื่อกำไรแล้วต้องรอเวลา ให้ภาคการผลิตสามารถผลิตทันขายใหม่ แปลง่ายๆคือ รอหมูตัวใหม่มาเข้าตลาดให้เชือดใหม่ อย่าตะบันแช่อยู่แต่ในตลาดหุ้นทุกวี่ทุกวัน ถ้าไม่มีงานอื่นทำก็ทำงานอดิเรกอื่นๆคลายเครียดดีกว่า)
การอ่านตลาดเป็นหมี เป็นกระทิงเป็นเรื่องสำคัญมาก
เราทั้งหลายมักคิดว่า ขายเสร็จได้ซื้อคืนในราคาที่ต่ำลงหน่อย เป็นชัยชนะน่าภาคภูมิ แต่หากทำบ่อยๆก็เจอกับหมีจนได้ แล้วสุดท้ายที่กำไรมาบานเบอะ ก็หายวับบานตะเกียงไป
ส่วนคนที่ต้นทุนต่ำๆ ก็ใจเย็นเพราะมีภูมิคุ้มกันต้นทุนอยู่ แต่เมื่อถึงจุดสูงๆแล้วไม่ขาย ก็ถือว่าเสียโอกาสกลายเป็นคนโง่เขลาได้เช่นกันนะจะบอกให้