...ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่า ผมไม่ได้เป็นคนที่มีความรู้ในเรื่องของธุรกิจเลย เพราะตั้งแต่เด็กจนโต คุ้นอยู่กับแค่การทำงานเป็นแรงงานฝีมือมากกว่า จนมาทำงานก็มาวนเวียนแต่จุดที่เป็นการผลิตที่อาศัยความชำนาญ ซึ่งความเกี่ยวข้องกับความรู้ในการทำบริษัทน้อยมาก แถมความรู้ในเรื่องการจัดการการเงินส่วนบุคคลก็มีแค่รู้อย่างเดียวว่าต้องรู้จักการออม ไม่เคยรู้เรื่องการทำเงินให้งอกเงยเลย แล้ววันหนึ่งวันที่ดอกเบี้ยจากการออมมันน้อยจนน่าใจหาย เลยมองหาการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า เพื่อในวันข้างหน้า อายุมากขึ้นเงินจากการออมจะได้ออกดอกออกผลให้ยามเกษียณอายุ ความโชคดีของผมก็คือ การได้ยินแนวทางการลงทุนในหุ้นของบัฟเฟตต์จากรุ่นพี่ในที่ทำงานคนหนึ่ง...สิ่งหนึ่งที่ได้ยินและผ่านตาจากหนังสือของบัฟเฟตต์ คือ ลงทุนในธุรกิจที่เราเข้าใจในราคาที่เหมาะสมและถือไปจนกว่าบริษัทนั้นยังคงให้ผลตอบแทนที่เราพอใจ กับ คำว่า Durable Competitive...
...ทั้งสองสิ่งที่ได้ผ่านตา แทบจะเป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยได้เข้าใจอะไรเลย
อย่างคำว่า Durable Competitiveนั้น เพิ่งพอจะเห็นรูปร่างก็ตอนอาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง เพราะไปอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับการจัดการ ของอาจารย์พสุ เรื่อง"RETOOLING THE NEW STRATEGY" และคนที่บอกว่าบัฟเฟตต์จะลงทุนเฉพาะธุรกิจที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขัน น่าจะเป็นมุมมองของผู้ที่เอาความรู้ด้านการจัดการมาจับแนทางของบัฟเฟตต์มากกว่า
...Michael E.Porter GURU ด้านSTRATEGYของHarwardได้สรุปไว้ว่า
" องค์กรใดจะเกิดการได้เปรียบทางการแข่งขัน หรือเกิดผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น
องค์กรนั้นจะต้องแข่งขันอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความน่าสนใจ(Attractive Industry)รวมทั้งมีสถานะหรือตำแหน่งที่ดีในอุตสาหกรรมนั้น(Positioning)"
และยังสรุปปัจจัยที่สำคัญ 5 ประการที่ส่งผลต่อความน่าสนใจของอุตสาหกรรม ดังนี้
1.ภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรม
2.โอกาสในการเข้ามาของคู่แข่งขันใหม่
3.อำนาจต่อรองของผู้ผลิตหรือผู้จัดหาวัตถุดิบ
4.อำนาจต่อรองของผู้ซื้อ
5.ภาวะคุกคามจากสินค้าทดแทน