fancy fancy fancy
ระวังเค้าขอถอนออกจากตลาดนะครับ.....คิดเล่นๆครับ
ช่วงนี้เหมือนไม่ค่อยสนใจราคาหุ้นที่ซื้อขายกัน
กรรมการก็ขายหุ้นตัวเอง เปลี่ยนมือเป็นว่าเล่น แล้วแสดงรายการซื้อหุ้นกลับเข้าชื่อบุตรของกรรมการอีกคนส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนไม่รู้ไปอยู่กับใคร ไม่ปรากฎหลักฐานให้เรารู้กัน
สรุปแล้ว ผมคิดเล่นๆครับ ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเกิดจากการค้าขายจริงๆก็ได้ครับ....อิอิอิ
ช่วงนี้เหมือนไม่ค่อยสนใจราคาหุ้นที่ซื้อขายกัน
กรรมการก็ขายหุ้นตัวเอง เปลี่ยนมือเป็นว่าเล่น แล้วแสดงรายการซื้อหุ้นกลับเข้าชื่อบุตรของกรรมการอีกคนส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนไม่รู้ไปอยู่กับใคร ไม่ปรากฎหลักฐานให้เรารู้กัน
สรุปแล้ว ผมคิดเล่นๆครับ ไม่มีอะไรหรอก อาจจะเกิดจากการค้าขายจริงๆก็ได้ครับ....อิอิอิ
ถ้าคุณวิชัย ทิ้งไปจริงๆ ผมว่ารายย่อยเตรียมเจ็บตัวได้เลยครับ คุณพงษ์สันต์นั้นเป็นผู้บริหารที่มีระบบการตัดสินใจเฉพาะตัวจริงๆครับ ไม่มีใครสามารถเลียนแบบได้ และไม่อยากเลียนแบบด้วยครับ
แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณวิชัยจะทิ้งนะครับ ที่เราเห็นมีการเปลี่ยนมือจำนวนหุ้นขนาดมหาศาลนั้น อาจจะเป็นไปได้ว่าหุ้นเหล่านั้นเดิมเป็นของคุณพงษ์สันต์ที่ฝากคุณวิชัยถือไว้ อาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ท่านทำกันแบบนั้น......ตอนนี้ถึงเวลาคืนของกันแล้ว เพราะลูกคุณพงษ์สันต์เริ่มโตแล้ว มีญาติพี่น้องของคุณพงษ์สันต์มาช่วยถือหุ้น แถมการซื้อขายหุ้นในช่วงราคาต่ำๆทำให้เสียภาษีน้อยลงตามราคาอีกด้วย เค้าจึงยินดีที่จะซื้อขายกันในช่วงราคาต่ำก็เป็นได้ครับ
อิอิอิ........ทั้งหมดนี้เดาเอาครับ แต่มีความเป็นไปได้สูงนะครับ...จะบอกให้
แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณวิชัยจะทิ้งนะครับ ที่เราเห็นมีการเปลี่ยนมือจำนวนหุ้นขนาดมหาศาลนั้น อาจจะเป็นไปได้ว่าหุ้นเหล่านั้นเดิมเป็นของคุณพงษ์สันต์ที่ฝากคุณวิชัยถือไว้ อาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ท่านทำกันแบบนั้น......ตอนนี้ถึงเวลาคืนของกันแล้ว เพราะลูกคุณพงษ์สันต์เริ่มโตแล้ว มีญาติพี่น้องของคุณพงษ์สันต์มาช่วยถือหุ้น แถมการซื้อขายหุ้นในช่วงราคาต่ำๆทำให้เสียภาษีน้อยลงตามราคาอีกด้วย เค้าจึงยินดีที่จะซื้อขายกันในช่วงราคาต่ำก็เป็นได้ครับ
อิอิอิ........ทั้งหมดนี้เดาเอาครับ แต่มีความเป็นไปได้สูงนะครับ...จะบอกให้
คุณลุงขวดครับ คุณพงสันต์ เดิมชื่อ Mr. P.S. Lee เป็นชาวใต้หวัน ตามที่คุณลุงขวดว่ามา ในรายงานการซื้อขายระบุชื่อผู้ซื้อว่า นายพงสันต์(บุตร) ไม่ได้หมายความว่าบุตรของนายพงสันต์เป็นคนซื้อหุ้นไว้เหรอครับ หรือผมเข้าใจผิดมาตลอด....ชักงง เพราะบางทีก็เห็นชื่อของ อ.ธวัชชัย สุทธิประภา (คู่สมรส) (ITD)ผมก็จะเข้าใจว่าภรรยาของท่าน อ.ธวัชชัย เป็นผู้ซื้อนะครับ ผมอาจจะเข้าใจผิดจริงๆ คุณลุงขวดช่วยให้ความรู้หน่อยครับ
คุณเฮียคลายเครียดครับ ผมอ่านแล้วยังงงครับ ช่วยเฉลยเป็นความรู้อีกหน่อยนะครับ
คุณเฮียคลายเครียดครับ ผมอ่านแล้วยังงงครับ ช่วยเฉลยเป็นความรู้อีกหน่อยนะครับ
คุณลุงขวดครับ หลายๆครั้งที่ผมโพสเกี่ยวกับfancyไป ส่วนใหญ่จะออกมาในมุมมองที่เป็นnegativeด้านการบริหาร ผมก็จะมีความรู้สึกไม่ดีที่ได้ทำไป โดยเฉพาะกับเจ้าบ้านfancy จริงๆแล้วfancyยังมีข้อดีที่น่าสนใจอีกหลายๆด้านครับโดยเฉพาะราคาเทียบกับเงินปัญผลในขณะนี้ อย่างไรก็ตามผมขอยอมรับและต้องขอโทษจากการกระทำของผม การแสดงความเห็นทั้งหมดของผมเกิดจากการคาดเดาเป็นส่วนใหญ่ ไม่สามารถเอามาถือเป็นข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลหรือยึดถือเป็นหลักเกณฑ์ใดๆครับ......ขออภัยคุณลุงขวดและคนอื่นๆด้วยความจริงใจครับ
ถ้ามีโอกาสผมจะลงทะเบียนตามคำเชิญของลุงขวดครับ ผมถือเป็นเกียรติที่ลุงขวดชวนนะครับ จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาความรู้ให้มากกว่านี้ครับ......ตอนนี้ผมขอเวลาคิดชื่อที่จะใช้ตั้งชื่อลงทะเบียนสวยๆก่อนนะครับ...อิอิอิ
ถ้ามีโอกาสผมจะลงทะเบียนตามคำเชิญของลุงขวดครับ ผมถือเป็นเกียรติที่ลุงขวดชวนนะครับ จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและหาความรู้ให้มากกว่านี้ครับ......ตอนนี้ผมขอเวลาคิดชื่อที่จะใช้ตั้งชื่อลงทะเบียนสวยๆก่อนนะครับ...อิอิอิ
ขายไปแล้วครับ
ผมเคยซื้อ fancy มาตั้งแต่ราคา 9 บาทกว่าครับ เคยขึ้นไปถึง 13 บาทมั๊งแต่ไม่ได้ขาย เพ้อฝันว่ากำไรจะโตไปเรื่อยๆ ตอนนี้ขายไปแล้วครับ ที่ 5.15 เพราะก่อนหน้านี้อึดอัดมาก คิดว่าเพื่อนๆบางคนก็อึดอัดเหมือนกัน แต่ผมเคยอ่านหนังสือของปีเตอร์ ลินช์นะครับ ว่าเวลาธุรกิจมีการขยายตัวใหม่ๆ จะไม่ได้กำไรโตทันทีเพราะอาจมีความผิดพลาดบางอย่าง นอกจากนั้นอาจยังไม่เกิด economy of scale แต่ที่ผมขายไปเพราะผมเริ่มรู้ตัวว่าไม่เข้าใจมันอย่างแท้จริง ไม่รู้จริงๆว่าอีก 5-10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร เพราะมีทั้งด้านบวกและลบและมีความไม่แน่นอนสูง แต่เท่าที่ผมทราบอย่างนึงนะครับว่าราคายางขึ้น ไม้ขึ้นด้วย เวลายางลงไม้ไม่ลงต่อนะครับ ถ้าบริษัทจะมีกำไรขั้นต้นเท่าเดิมคงต้องขึ้นราคาทุกปีเลย ถ้าเพื่อนคนไหนมั่นใจและเข้าใจอย่างแท้จริงก็ถือต่อได้เลยครับ สำหรับผมถือว่าเป็นค่าเทอมครับ
ไม่รู้ว่าข่าวจาก น.ส.พ. ผู้จัดการเรื่องนี้จะทำให้ผู้ถือหุ้น fancy ใจชื้นขึ้นมาได้บ้างหรือไม่ครับ
กระทรวงอุตสาหกรรมจัดสรรงบ 8.4 ล้านบาท เพื่อนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต หวังกระตุ้นให้ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาศักยภาพกระบวนการผลิตสินค้า หลังพบจุดอ่อนภาคอุตสาหกรรมไทยเสียเปรียบด้านเทคโนโลยี-บุคลากร พร้อมชู 5 อุตสาหกรรมนำร่อง 5 โรงงาน
นายมนู เลียวไพโรจน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับสถาบันไทย-เยอรมัน ได้จัดทำโครงการศึกษาการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต โดยใช้งบประมาณ 8.4 ล้านบาท ทำให้ทราบถึงปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนากระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและพบว่าการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้สามารถย่นระยะเวลาและต้นทุนการผลิต ทำให้การส่งมอบสินค้าเร็วขึ้นกว่าเดิม ช่วยสร้างผลประโยชน์ได้เป็นมูลค่ามหาศาล
ด้านนางชุตาภรณ์ ลัมพสาระ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า สศอ.ได้คัดเลือก 5 อุตสาหกรรมนำร่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ รองเท้าแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา แปรรูปผลิตผลทางการเกษตรและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีในการผลิต โดยได้รับความร่วมมือจากโรงงานที่สนใจเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 53 โรงงาน เบื้องต้นคัดเลือกโรงงานต้นแบบเพื่อใช้ในโครงการศึกษาครอบคลุมทั้ง 5 อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมละ 1 โรงงาน ในการจัดส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปศึกษาวิเคราะห์ข้อบกพร่อง ตลอดจนแนะนำการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิต คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จต้นเดือนกรกฎาคมนี้
กระทรวงอุตสาหกรรมจัดสรรงบ 8.4 ล้านบาท เพื่อนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต หวังกระตุ้นให้ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาศักยภาพกระบวนการผลิตสินค้า หลังพบจุดอ่อนภาคอุตสาหกรรมไทยเสียเปรียบด้านเทคโนโลยี-บุคลากร พร้อมชู 5 อุตสาหกรรมนำร่อง 5 โรงงาน
นายมนู เลียวไพโรจน์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับสถาบันไทย-เยอรมัน ได้จัดทำโครงการศึกษาการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิต โดยใช้งบประมาณ 8.4 ล้านบาท ทำให้ทราบถึงปัญหาที่เป็นอุปสรรคในการพัฒนากระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมและพบว่าการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้สามารถย่นระยะเวลาและต้นทุนการผลิต ทำให้การส่งมอบสินค้าเร็วขึ้นกว่าเดิม ช่วยสร้างผลประโยชน์ได้เป็นมูลค่ามหาศาล
ด้านนางชุตาภรณ์ ลัมพสาระ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า สศอ.ได้คัดเลือก 5 อุตสาหกรรมนำร่อง ได้แก่ อุตสาหกรรมแม่พิมพ์ รองเท้าแฟชั่น เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา แปรรูปผลิตผลทางการเกษตรและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องพึ่งพาเทคโนโลยีในการผลิต โดยได้รับความร่วมมือจากโรงงานที่สนใจเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 53 โรงงาน เบื้องต้นคัดเลือกโรงงานต้นแบบเพื่อใช้ในโครงการศึกษาครอบคลุมทั้ง 5 อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมละ 1 โรงงาน ในการจัดส่งทีมผู้เชี่ยวชาญเข้าไปศึกษาวิเคราะห์ข้อบกพร่อง ตลอดจนแนะนำการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงในกระบวนการผลิต คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จต้นเดือนกรกฎาคมนี้