ความลำบากของ VI
การวิเคราะห์ผิดพลาดเป็นเรื่องปกติธรรมดาครับ แม้ว่าบางคนจะเรียนจากสำนักเดียวกัน (ผมหมายถึง สถาบันการศึกษาเดียวกัน คณะเดียวกัน เรียนจากอาจารย์คนเดียวกัน) ก็ยังวิเคราะห์ธุรกิจแตกต่างกันเลยครับ ผมคิดว่าการวิเคราะห์ธุรกิจมันเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ทำให้เกิดความแตกต่างก็ตรงการนำศาสตร์ไปใช้
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทใดบริษัทหนึ่งแล้ว จากนั้นก็ซื้อหุ้นตัวนั้นมาถือไว้โดยไม่ต้องทำอะไรอีกเลย ผมอยากจะเสริมว่า เราควรจะต้องมีการประเมินเป็นระยะๆ ครับ เนื่องจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบๆนั้น บางปัจจัยก็มีผลกระทบทั้งด้านดีและไม่ดี หรือบางปัจจัยก็ไม่กระทบกับบริษัทเลย อย่างเช่น บริษัทหนึ่งเคยทำกำไรได้ดีมาก ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตอันใกล้ไปจนถึงยาวบริษัทจะสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของบริษัท เช่น ความสามารถของผู้บริหาร ความชำนาญหรือเชียวชาญในเชิงธุรกิจที่ทำ การวิจัยและพัฒนา ผลิตภัณฑ์และตราสินค้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกที่มีจะมากระทบต่อบริษัท เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย การเมืองและกฏหมาย เทคโนโลยี วัฒนธรรมทางสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ และปัจจัยเหล่านี้บางที่ก็อาจจะส่งผลดีแก่อุตสาหกรรมหนึ่ง แต่อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมอื่นก็ได้ (การดูก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ก็ดูว่าบริษัทนั้นทำอะไร อะไรเป็นสิ่งหรือปัจจัยสำคัญของบริษัทนั้น และก็ดูว่าปัจจัยภายนอกนั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งสำคัญของบริษัทในด้านดีหรือไม่ดี)
สำหรับผมการจะตัดสินใจว่าจะขายหรือไม่เมื่อมีปัจจัยๆ ต่างมากระทบต่อพื้นฐานของบริษัท ส่วนใหญ่ผมจะดูความรุนแรงและระยะเวลา ถ้าค่อนข้างรุนแรงและกินระยะเวลาเป็นปี ก็จะตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นก่อน ต่อให้ต้องขาดทุนก็ตาม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถือแล้ว ก็สามารถติดตามเป็นระยะๆ ได้ เมื่อใดที่ดูว่ามีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ชัดเจน และราคาไม่แพงก็อาจกลับไปถืออีกครั้ง
ดังนั้นที่ว่าซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่งแล้วถือระยะยาว หรือไม่ยอมขายผมไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ก็จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น คือน่าจะดูตามสถานการณ์น่ะครับ
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทใดบริษัทหนึ่งแล้ว จากนั้นก็ซื้อหุ้นตัวนั้นมาถือไว้โดยไม่ต้องทำอะไรอีกเลย ผมอยากจะเสริมว่า เราควรจะต้องมีการประเมินเป็นระยะๆ ครับ เนื่องจากสภาพแวดล้อมต่างๆ ที่อยู่ทั้งภายในและภายนอกบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบๆนั้น บางปัจจัยก็มีผลกระทบทั้งด้านดีและไม่ดี หรือบางปัจจัยก็ไม่กระทบกับบริษัทเลย อย่างเช่น บริษัทหนึ่งเคยทำกำไรได้ดีมาก ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตอันใกล้ไปจนถึงยาวบริษัทจะสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของบริษัท เช่น ความสามารถของผู้บริหาร ความชำนาญหรือเชียวชาญในเชิงธุรกิจที่ทำ การวิจัยและพัฒนา ผลิตภัณฑ์และตราสินค้า เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีปัจจัยภายนอกที่มีจะมากระทบต่อบริษัท เช่น การเติบโตทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย การเมืองและกฏหมาย เทคโนโลยี วัฒนธรรมทางสังคม ซึ่งเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ และปัจจัยเหล่านี้บางที่ก็อาจจะส่งผลดีแก่อุตสาหกรรมหนึ่ง แต่อาจส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมอื่นก็ได้ (การดูก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ก็ดูว่าบริษัทนั้นทำอะไร อะไรเป็นสิ่งหรือปัจจัยสำคัญของบริษัทนั้น และก็ดูว่าปัจจัยภายนอกนั้นส่งผลกระทบต่อสิ่งสำคัญของบริษัทในด้านดีหรือไม่ดี)
สำหรับผมการจะตัดสินใจว่าจะขายหรือไม่เมื่อมีปัจจัยๆ ต่างมากระทบต่อพื้นฐานของบริษัท ส่วนใหญ่ผมจะดูความรุนแรงและระยะเวลา ถ้าค่อนข้างรุนแรงและกินระยะเวลาเป็นปี ก็จะตัดสินใจขายหุ้นตัวนั้นก่อน ต่อให้ต้องขาดทุนก็ตาม ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ถือแล้ว ก็สามารถติดตามเป็นระยะๆ ได้ เมื่อใดที่ดูว่ามีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ชัดเจน และราคาไม่แพงก็อาจกลับไปถืออีกครั้ง
ดังนั้นที่ว่าซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่งแล้วถือระยะยาว หรือไม่ยอมขายผมไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่ ก็จากเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น คือน่าจะดูตามสถานการณ์น่ะครับ
ผมอยากจะขยายความของคำว่า "การได้เปรียบทางการแข่งขัน" หรือ Competitive advantage หน่อยครับ เพราะบางทีคนที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้อาจจะไม่เข้าใจว่า บริษัทที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขั้นนั้นมีลักษณะอย่างไร?
การจะดูว่าบริษัทใดมีความได้เปรียบทางการแข่งขันหรือไม่? ก็ดูว่าบริษัทนั้นๆ มีอย่างใดอย่างหนึ่งในต่อไปนี้หรือไม่
Cost leadership หรือต้นทุนต่ำกว่า (Lower cost) ทำให้บริษัทสามารถกำหนดราคาขายได้ต่ำกว่าคู่แข่งขัน หรือราคาเท่ากันก็มีกำไรส่วนเกินที่สูงขึ้น การที่บริษัทที่มีความสามารถผลิตได้ต้นทุนต่ำ ก็มาจากผลิตสินค้าได้เพิ่มมากขึ้นในขณะที่ต้นทุนคงที่ ณ ระดับการผลิตที่เพิ่มขึ้นไม่เพิ่มขึ้นตาม เรียกว่าการประหยัดเนื่องจากขนาด และบริษัทนั้นต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง และยังต้องมีความเชี่ยวชาญประกอบด้วย ที่เห็นก็มีอยู่หลายบริษัทที่ทำได้นะครับ
ความแตกต่าง (Differentiation) การที่บริษัทไหนสามารถทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าสินค้าหรือบริการของตนมีความแตกต่างจากเจ้าอื่นๆ ได้ เช่น การใช้งาน คุณภาพ ความสะดวก ตราสินค้า ฯลฯ ก็จะทำให้บริษัทนั้นสามารถที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและบริการของตนได้ ซึ่งก็จะทำให้บริษัทนั้นๆ ได้กำไรส่วนเกินสูงขึ้น อีกทั้งยังจะรักษาส่วนแบ่งตลาดและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของตนอีกด้วย
สุดท้ายคือ Focus ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นผู้ซื้อเฉพาะส่วน เช่นแบ่งตามผลิตภัณฑ์ หรือตามภูมิศาสตร์ หรืออาจเป็นกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทใหญ่ๆ ไม่ให้ความสนใจ เพราะคิดว่าทำตลาดไปก็ไม่คุ้ม เป็นต้น และอาจมุ่งเน้นในเรื่องของต้นทุนต่ำ หรือการสร้างความแตกต่างก็ได้ครับ
หากว่าบริษัทใดไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง Michael E. Porter เรียกว่าตกอยู่ในสถานการณ์ Stuck in the middle คือรอวันตายอย่างเดียว ถ้าหากว่าบริษัทนั้นไม่พัฒนาตนเอง (ก็มีหลายบริษัทที่อยู่ในภาวะเช่นนี้ครับ)
ก็เป็นการสรุปแบบภาพรวมมาให้ เพื่อให้พอจะมองภาพออกเท่านั้น ถ้าสนใจก็หาอ่านเพิ่มเติมได้ครับ ชื่อหนังสือ Competitive Strategy ของ Michael E. Porter
การจะดูว่าบริษัทใดมีความได้เปรียบทางการแข่งขันหรือไม่? ก็ดูว่าบริษัทนั้นๆ มีอย่างใดอย่างหนึ่งในต่อไปนี้หรือไม่
Cost leadership หรือต้นทุนต่ำกว่า (Lower cost) ทำให้บริษัทสามารถกำหนดราคาขายได้ต่ำกว่าคู่แข่งขัน หรือราคาเท่ากันก็มีกำไรส่วนเกินที่สูงขึ้น การที่บริษัทที่มีความสามารถผลิตได้ต้นทุนต่ำ ก็มาจากผลิตสินค้าได้เพิ่มมากขึ้นในขณะที่ต้นทุนคงที่ ณ ระดับการผลิตที่เพิ่มขึ้นไม่เพิ่มขึ้นตาม เรียกว่าการประหยัดเนื่องจากขนาด และบริษัทนั้นต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตอย่างต่อเนื่อง และยังต้องมีความเชี่ยวชาญประกอบด้วย ที่เห็นก็มีอยู่หลายบริษัทที่ทำได้นะครับ
ความแตกต่าง (Differentiation) การที่บริษัทไหนสามารถทำให้ผู้บริโภคเห็นว่าสินค้าหรือบริการของตนมีความแตกต่างจากเจ้าอื่นๆ ได้ เช่น การใช้งาน คุณภาพ ความสะดวก ตราสินค้า ฯลฯ ก็จะทำให้บริษัทนั้นสามารถที่จะสร้างมูลค่าเพิ่มแก่สินค้าและบริการของตนได้ ซึ่งก็จะทำให้บริษัทนั้นๆ ได้กำไรส่วนเกินสูงขึ้น อีกทั้งยังจะรักษาส่วนแบ่งตลาดและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดของตนอีกด้วย
สุดท้ายคือ Focus ซึ่งเป็นการมุ่งเน้นผู้ซื้อเฉพาะส่วน เช่นแบ่งตามผลิตภัณฑ์ หรือตามภูมิศาสตร์ หรืออาจเป็นกลุ่มเป้าหมายที่บริษัทใหญ่ๆ ไม่ให้ความสนใจ เพราะคิดว่าทำตลาดไปก็ไม่คุ้ม เป็นต้น และอาจมุ่งเน้นในเรื่องของต้นทุนต่ำ หรือการสร้างความแตกต่างก็ได้ครับ
หากว่าบริษัทใดไม่มีอย่างใดอย่างหนึ่ง Michael E. Porter เรียกว่าตกอยู่ในสถานการณ์ Stuck in the middle คือรอวันตายอย่างเดียว ถ้าหากว่าบริษัทนั้นไม่พัฒนาตนเอง (ก็มีหลายบริษัทที่อยู่ในภาวะเช่นนี้ครับ)
ก็เป็นการสรุปแบบภาพรวมมาให้ เพื่อให้พอจะมองภาพออกเท่านั้น ถ้าสนใจก็หาอ่านเพิ่มเติมได้ครับ ชื่อหนังสือ Competitive Strategy ของ Michael E. Porter
เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยครับที่จะสะสมประสบการณ์การลงทุนในแบบVI ผมว่าปัจจัยสำคัญคือ เรื่องใจล้วนๆๆๆเลยครับ ใจต้องนิ่ง ความรู้และประสบการณ์การที่แน่นพอ...ผมเองพออ่านไปเรื่อยๆๆก็พบว่ายิ่งอ่านยิ่งกลัวมากขึ้น--เพราะเราไม่ได้มีความรู้อย่างจริงๆๆ อย่างเช่นการดูตัวเลขทางบัญชีอย่างเดียวแล้วนำมาเป็นข้อมูลตัดสินใจในการลงทุน ผมว่ามีความเสี่ยงสูงครับ เล่ห์กลในทางบัญชีสำหรับผู้รู้จริงถึงจะได้กลิ่น จึงต้องอาศัยอย่างอื่นมาประกอบอย่างเช่น ความรู้ทางการเงิน เพื่อวิเคราะห์สภาพคล่องทางธุรกิจ ,ต้องอาศัยความรู้เรื่องGood goverance ,ต้องเข้าใจขบวนการในการบริหารจัดการที่ใช้(CEOเป็นใคร มีผลงานในอดีตเป็นยังไง)----สรุปต้องเข้าใจในธุรกิจและวิธีการทำธุรกิจนั้นๆๆ-----เสมือนเข้าไปเป็นเจ้าของเอง.
ในลำนาวาและทะเลแห่งการลงทุน เราอาจคาดเดาพายุ คาดเดาความปั่นป่วนของท้องทะเลได้ถูกไม่ทุกครั้งเสมอไป สรรพสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัย การเตรียมตัวให้พร้อม----ฝึกซ้อมว่ายน้ำให้แข็งแรง เตรียมเสบียงให้พร้อมยามเรือแตก มั่นเฝ้าดูเรือชูชีพว่าพร้อมเสมอ เตรียมใจให้เข้มแข็งพร้อมรับเหตุการณ์ต่างๆ
....แต่ละคนก็มีกลยุทธ์และความชอบในสไตล์แตกต่างกัน เพียงแต่เราจะพอใจและมีความสุขกับสไตล์ไหนมากกว่ากันครับ
...สำหรับหนังสือ Competitive Strategy มีเล่มแปลของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พิมพ์โดยSE-EDเล่มละ 145 บาทถ้าจำไม่ผิดครับ
ในลำนาวาและทะเลแห่งการลงทุน เราอาจคาดเดาพายุ คาดเดาความปั่นป่วนของท้องทะเลได้ถูกไม่ทุกครั้งเสมอไป สรรพสิ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัย การเตรียมตัวให้พร้อม----ฝึกซ้อมว่ายน้ำให้แข็งแรง เตรียมเสบียงให้พร้อมยามเรือแตก มั่นเฝ้าดูเรือชูชีพว่าพร้อมเสมอ เตรียมใจให้เข้มแข็งพร้อมรับเหตุการณ์ต่างๆ
....แต่ละคนก็มีกลยุทธ์และความชอบในสไตล์แตกต่างกัน เพียงแต่เราจะพอใจและมีความสุขกับสไตล์ไหนมากกว่ากันครับ
...สำหรับหนังสือ Competitive Strategy มีเล่มแปลของ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พิมพ์โดยSE-EDเล่มละ 145 บาทถ้าจำไม่ผิดครับ