ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมเห็นหัวหน้าฝ่ายท่านนึง โดนย้ายไปนั่งหน้าห้องครับ ไม่มีงานให้ทำ บีบให้ออกว่างั้นเหอะ
ผมถามตัวเองว่า จะรอให้เขาให้เราออก หรือเราจะไปสร้างที่มั่นของเราเอง
สมัยนั้นเศรษฐกิจดีมากครับ ไปไหน หางานไม่ยาก คนทำธุรกิจต่างหากที่ลำบากหาลูกจ้างถูกๆไม่ได้
ผ่านมา 10 ปี รู้สึกดีที่ตีฝ่าออกมา เห็นเพื่อนๆหลายคน เริ่มเบื่องาน แต่ออกไม่ได้ เพราะห่วง และหนี้ผูกคอเยอะ
ผมว่า คนเป็นลูกจ้างปลอดภัยในปัจจุบัน แต่เสี่ยงในอนาคต
คนออกมาลงทุนทำธุรกิจเอง เสี่ยงในปัจจุบัน แต่ถ้ารอดก็ปลอดภัยในอนาคต
เราต้องมองให้ออกว่าการเป็นลูกจ้างนั้นเสี่ยงมากครับ ใครว่าเสี่ยงน้อยกว่าทำธุรกิจเอง เพราะเราฝากอนาคตเราไว้กับเจ้านาย ซึ่งไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นอย่างไร
เข้าปรัชญาที่ว่า "มันเสี่ยงเกินไปที่จะไม่เสี่ยง"
ผมถามตัวเองว่า จะรอให้เขาให้เราออก หรือเราจะไปสร้างที่มั่นของเราเอง
สมัยนั้นเศรษฐกิจดีมากครับ ไปไหน หางานไม่ยาก คนทำธุรกิจต่างหากที่ลำบากหาลูกจ้างถูกๆไม่ได้
ผ่านมา 10 ปี รู้สึกดีที่ตีฝ่าออกมา เห็นเพื่อนๆหลายคน เริ่มเบื่องาน แต่ออกไม่ได้ เพราะห่วง และหนี้ผูกคอเยอะ
ผมว่า คนเป็นลูกจ้างปลอดภัยในปัจจุบัน แต่เสี่ยงในอนาคต
คนออกมาลงทุนทำธุรกิจเอง เสี่ยงในปัจจุบัน แต่ถ้ารอดก็ปลอดภัยในอนาคต
เราต้องมองให้ออกว่าการเป็นลูกจ้างนั้นเสี่ยงมากครับ ใครว่าเสี่ยงน้อยกว่าทำธุรกิจเอง เพราะเราฝากอนาคตเราไว้กับเจ้านาย ซึ่งไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นอย่างไร
เข้าปรัชญาที่ว่า "มันเสี่ยงเกินไปที่จะไม่เสี่ยง"
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในเรื่องการลงทุนค่ะ ดิฉันโชคดีที่ได้คิดตอนที่ชีวิตยังไม่เกิดวิกฤต ดิฉันเป็นหมอฟันนับว่ามีรายได้พอตัวทีเดียว ใช้จ่ายก็มากเท่าที่รายรับหามาได้ เคยฝันตั้งแต่ทำงานใหม่ๆว่าถ้ารายได้ขนาดนี้แค่ 10 ปีก็จะเก็บเงินได้เป็นสิบล้านทีเดียว อนิจจา
ผ่านมา10ปีพอดีมีเงินเก็นแค่ล้านเดียว โชคดีที่ได้อ่าน rich dad ทำให้ฉุกคิดว่าเราเองก็คงไม่พ้นคนที่อยู่ใน90% ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างกระเบียดกระเสียรในยามชรา เลยตั้งต้นใหม่ เริ่มเลยตั้งแต่อ่านหนังสือจบ และคิดว่าจะลงทุนต่อ
ไป และตั้งใจเป็นอย่างมากว่าเมื่อเก่งๆจะได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้เรื่องการลงทุนให้กับคนอื่นเหมือนที่ทุกท่านในที่นี้กำลังช่วยกันทำอยู่ค่ะ


