ผมสนใจ ecl เพื่อนๆที่ติดตามอยู่
ธุรกิจปล่อยกู้ทุกประเภท หากมีการแข่งขันกันมากขึ้น ผู้ชนะคือ
1. ส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) สูงสุด
2. ปริมาณเงินสินเชื่อสูงสุด
3. หนี้เสียน้อยที่สุด
หาก ECL ต้องการชนะ ต้องมี
1. ต้นทุนการเงินต่ำ แต่รับดอกเบี้ยสูง
2. ปริมาณเงินสูง มีสาขาให้บริการมาก
3. การควบคุมลูกหนี้ที่ดี
นอกจากนั้นการควบคุมต้นทุนการดำเนินการก็ต้องรัดกุม ยังไม่เห็นว่า ECL จะเป็นผู้นำในวงการปล่อยกู้ได้เลย หากพิจารณา P/E ของหุ้นประเภทนี้ทั้งหมด ECL ไม่เข้าข่ายธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนนักลงทุนได้ดีเท่าไหร่นัก
หากนับ 20 ปีเป็นประสบการณ์ ก็ต้องดูด้วยครับ ว่าก่อนจะมาเป็น ECL นั้นเคยเป็นบริษัทอะไรมาก่อน ยังจำ SITCA กันได้ไหมเอ่ย หุ้นตัวนี้เข้าข่ายใส่ตระกร้าล้างน้ำ นักลงทุนโปรดระวังให้มากๆครับ
1. ส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) สูงสุด
2. ปริมาณเงินสินเชื่อสูงสุด
3. หนี้เสียน้อยที่สุด
หาก ECL ต้องการชนะ ต้องมี
1. ต้นทุนการเงินต่ำ แต่รับดอกเบี้ยสูง
2. ปริมาณเงินสูง มีสาขาให้บริการมาก
3. การควบคุมลูกหนี้ที่ดี
นอกจากนั้นการควบคุมต้นทุนการดำเนินการก็ต้องรัดกุม ยังไม่เห็นว่า ECL จะเป็นผู้นำในวงการปล่อยกู้ได้เลย หากพิจารณา P/E ของหุ้นประเภทนี้ทั้งหมด ECL ไม่เข้าข่ายธุรกิจที่ให้ผลตอบแทนนักลงทุนได้ดีเท่าไหร่นัก
หากนับ 20 ปีเป็นประสบการณ์ ก็ต้องดูด้วยครับ ว่าก่อนจะมาเป็น ECL นั้นเคยเป็นบริษัทอะไรมาก่อน ยังจำ SITCA กันได้ไหมเอ่ย หุ้นตัวนี้เข้าข่ายใส่ตระกร้าล้างน้ำ นักลงทุนโปรดระวังให้มากๆครับ
ดูงบกำไรขาดทุน Q1/03 Q1/04 รายได้ทั้งหมด เพิ่มจาก 28 ไปเป็น 29 ล้าน รายได้จากสัญญาเช่าที่เป็นธุรกิจหลักลดลงเล็กน้อย จาก 25 เป็น 24 ล้าน
มาดูค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมลดลงประมาณ 20% จาก 8 ไปเป็น 6.7 ล้านบาท
แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มจาก 9.8 เป็น 13.8 ล้านบาท หนี้สงสัยจะสูญเพิ่มจาก 1.58 ล้านเป็น 6.9 ล้านบาท (NPL เพิ่มกว่า 4 เท่าตัว) รวมค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษี จาก 19.6 ล้านเป็น 27.3 ล้านบาท กำไรสุทธิลดฮวบจาก 5.3 ล้านบาทเหลือ 0.466 ล้านบาท (สี่แสนกว่าบาทเองครับ) ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะทำกำไร 30 ล้านบาทได้ในขณะนี้หากยังควบคุมต้นทุนไม่ได้
ดูภาพรวม Market Cap 250 ล้านบาท แต่ได้ผลตอบแทน 4 แสนกว่าบาทต่อไตรมาส ผมว่าแพงครับ
มาดูค่าใช้จ่ายในการกู้ยืมลดลงประมาณ 20% จาก 8 ไปเป็น 6.7 ล้านบาท
แต่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มจาก 9.8 เป็น 13.8 ล้านบาท หนี้สงสัยจะสูญเพิ่มจาก 1.58 ล้านเป็น 6.9 ล้านบาท (NPL เพิ่มกว่า 4 เท่าตัว) รวมค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษี จาก 19.6 ล้านเป็น 27.3 ล้านบาท กำไรสุทธิลดฮวบจาก 5.3 ล้านบาทเหลือ 0.466 ล้านบาท (สี่แสนกว่าบาทเองครับ) ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะทำกำไร 30 ล้านบาทได้ในขณะนี้หากยังควบคุมต้นทุนไม่ได้
ดูภาพรวม Market Cap 250 ล้านบาท แต่ได้ผลตอบแทน 4 แสนกว่าบาทต่อไตรมาส ผมว่าแพงครับ