PSL
ส่วน long period จากเดิม 3 ลำเปลี่ยนเป็น 7 ลำ อย่างงี้ Q4/47 จะได้เห็นเลข 3 นำหน้าหรือเปล่านี้Pravit เขียน:Kimeng EPS = 2.47
Pravit EPS = 2.62
กำไรจากการดำเนินการปกติ ไม่ได้นำผลกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนมาคำนวน แต่ได้ปรับลดจำนวนหุ้นที่รับซื้อคืนแล้ว
ขอลุ้นด้วยคนครับ :lol:
ช่วงนี้เหลือเรือวิ่ง spot แค่ 2 ลำ
สายเดินเรือเฮโลประกาศขึ้นค่าระวางขนส่ง
Src: ประชาชาติธุรกิจ - 04 พฤศจิกายน 2547
สายเดินเรือเฮโลประกาศขึ้นค่าระวางขนส่ง
สายการเดินเรือสหรัฐ-สหภาพยุโรป ประกาศปรับเพิ่มค่าระวางเรือปี 2548 เส้นทางเอเชีย-ยุโรป ปรับเพิ่ม 4 ครั้ง ตั้งแต่ 1 มกราคม-เมษายน 2548 ปรับเพิ่ม 400 เหรียญสหรัฐ/TEU เส้นทางเอเชีย-สหรัฐ ฝั่งตะวันตกเพิ่มขึ้น 285 เหรียญสหรัฐ/TEU ฝั่งตะวันออกปรับเพิ่ม 430 เหรียญสหรัฐ/TEU ส่วนเส้นทางญี่ปุ่น-ตะวันออกกลางเตรียมปรับเพิ่มเร็วๆ นี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือมั่นใจไม่กระทบส่งออก
ในปี 2548 ผู้ส่งออกสินค้าของไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังตลาดหลัก คือ สหรัฐกับสหภาพยุโรปจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการที่สายการเดินเรือต่างๆ ปรับขึ้นค่าระวางเรือ โดยอ้างต้นทุนหลักจากค่าน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่าอัตราค่าระวางเรือจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2551
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานผลการประชุม Far Eastern Freight Conference หรือ FEFC ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างสายการเดินเรือครอบ คลุมเส้นทางเอเชีย-ยุโรป ได้เปิดเผยถึงอัตราขยายตัวของขนส่งทางเรือจากทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกมายุโรปในปี 2548 ว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 17-18% ดังนั้นทาง FEFC จึงวางแผนปรับอัตราค่าระวางเรือในปี 2548 เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของการส่งออกจากเอเชียมายุโรปทำให้เกิดปัญหา
ตู้คอนเทนเนอร์ขาด รวมทั้งราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เส้นทางเอเชีย-ยุโรป จะเพิ่มค่าระวางเรือขึ้น 150 เหรียญสหรัฐต่อ TEU (ตู้ 20 ฟุต) ในวันที่ 1 เมษายนจะเพิ่มขึ้นอีก 250 เหรียญสหรัฐต่อ TEU หลังจากนั้นจะปรับเพิ่มอีก 2 ครั้งในวันที่ 1 กรกฎาคม และ 1 ตุลาคม 2548 แต่ยังไม่ได้ประกาศอัตราค่าระวางที่ปรับขึ้น ส่วนเส้นทางเอเชีย-เมดิเตอเรเนียน ปรับเพิ่มขึ้น 150 เหรียญสหรัฐต่อ TEU ในวันที่ 1 มิถุนายน และจะเพิ่มขึ้นอีก 150 เหรียญสหรัฐต่อ TEU ในวันที่ 1 ตุลาคม 2548
"ในช่วงปี 2547 สายการเดินเรือได้มีการเก็บค่าเซอร์ชาร์จน้ำมันที่เรียกว่าค่า BAF แต่ไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนน้ำมันทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นได้ นอก จากนี้ในปี 2548 คาดว่าค่าบริหารจัดการท่าเรือในยุโรปจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การทบทวนค่าภาระหน้าท่า (THCs) จึงจำเป็นต้องมีการปรับเพิ่มค่าระวางดังกล่าว" รายงานข่าวระบุ
ส่วนเส้นทางไทย-สหรัฐ ทางชมรม TSA (transpacific stabilization agreement) ประกาศปรับค่าระวางตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2548 โดยค่าระวางเส้นทางเอเชีย-สหรัฐฝั่งตะวันตก (west coast) จะเพิ่มขึ้นอีก 285 เหรียญสหรัฐต่อ TEU ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2548 ขณะที่อัตราค่าระวางเส้นทางเอเชีย-สหรัฐฝั่งตะวันออก (east coast) ซึ่งจะต้องผ่านคลองปานามาและคลองสุเอซเพิ่มขึ้น 430 เหรียญสหรัฐต่อ TEU
สาเหตุที่ปรับค่าระวางเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณความต้องการสินค้าจีนเพิ่มขึ้นมาก ทั้งกลุ่มสิ่งทอ-ของเล่นเด็ก และสินค้าอื่นๆ ทำให้ปริมาณความต้องการระวางเรือในปี 2547 เพิ่มขึ้น 15% และคาดว่าในปี 2548 ความต้องการจะเพิ่มขึ้น 12% สำหรับสายไทย-ญี่ปุ่น กับไทย-ตะวันออกกลาง คาดว่าจะประกาศปรับเพิ่มค่าระวางในเร็วๆ นี้
ด้านนายไพบูลย์ พลสุวรรณา เลขาธิการสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ให้ความเห็นกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ค่าระวางเรือในปี 2548 ปรับเพิ่มขึ้นไปมาก สาเหตุหลักเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามมั่นใจว่า
การปรับเพิ่มขึ้นของค่าระวางจะไม่ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทย เนื่องจากสินค้าไทยส่วนใหญ่ส่งออกแบบ FOB และทั่วโลกยอมรับว่าราคาค่าระวางเพิ่มจึงยอมเพิ่มราคาสินค้า นอกจากนี้ในปี 2548 เรือขนาดใหญ่ที่บรรทุกตู้สินค้าได้ 8,000 ตู้ จะเริ่มต้นเดินเรือได้หลายลำ จะช่วยให้สถานการณ์ตู้สินค้าขาดแคลนลดลง และทำให้ต้นทุนการขนส่งในอนาคตลดลงด้วย
สายเดินเรือเฮโลประกาศขึ้นค่าระวางขนส่ง
สายการเดินเรือสหรัฐ-สหภาพยุโรป ประกาศปรับเพิ่มค่าระวางเรือปี 2548 เส้นทางเอเชีย-ยุโรป ปรับเพิ่ม 4 ครั้ง ตั้งแต่ 1 มกราคม-เมษายน 2548 ปรับเพิ่ม 400 เหรียญสหรัฐ/TEU เส้นทางเอเชีย-สหรัฐ ฝั่งตะวันตกเพิ่มขึ้น 285 เหรียญสหรัฐ/TEU ฝั่งตะวันออกปรับเพิ่ม 430 เหรียญสหรัฐ/TEU ส่วนเส้นทางญี่ปุ่น-ตะวันออกกลางเตรียมปรับเพิ่มเร็วๆ นี้ สภาผู้ส่งสินค้าทางเรือมั่นใจไม่กระทบส่งออก
ในปี 2548 ผู้ส่งออกสินค้าของไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังตลาดหลัก คือ สหรัฐกับสหภาพยุโรปจะต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการที่สายการเดินเรือต่างๆ ปรับขึ้นค่าระวางเรือ โดยอ้างต้นทุนหลักจากค่าน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น โดยคาดว่าอัตราค่าระวางเรือจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2551
ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานผลการประชุม Far Eastern Freight Conference หรือ FEFC ซึ่งเป็นการประชุมระหว่างสายการเดินเรือครอบ คลุมเส้นทางเอเชีย-ยุโรป ได้เปิดเผยถึงอัตราขยายตัวของขนส่งทางเรือจากทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกมายุโรปในปี 2548 ว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 17-18% ดังนั้นทาง FEFC จึงวางแผนปรับอัตราค่าระวางเรือในปี 2548 เพื่อรองรับการเจริญเติบโตของการส่งออกจากเอเชียมายุโรปทำให้เกิดปัญหา
ตู้คอนเทนเนอร์ขาด รวมทั้งราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
โดยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 เส้นทางเอเชีย-ยุโรป จะเพิ่มค่าระวางเรือขึ้น 150 เหรียญสหรัฐต่อ TEU (ตู้ 20 ฟุต) ในวันที่ 1 เมษายนจะเพิ่มขึ้นอีก 250 เหรียญสหรัฐต่อ TEU หลังจากนั้นจะปรับเพิ่มอีก 2 ครั้งในวันที่ 1 กรกฎาคม และ 1 ตุลาคม 2548 แต่ยังไม่ได้ประกาศอัตราค่าระวางที่ปรับขึ้น ส่วนเส้นทางเอเชีย-เมดิเตอเรเนียน ปรับเพิ่มขึ้น 150 เหรียญสหรัฐต่อ TEU ในวันที่ 1 มิถุนายน และจะเพิ่มขึ้นอีก 150 เหรียญสหรัฐต่อ TEU ในวันที่ 1 ตุลาคม 2548
"ในช่วงปี 2547 สายการเดินเรือได้มีการเก็บค่าเซอร์ชาร์จน้ำมันที่เรียกว่าค่า BAF แต่ไม่สามารถครอบคลุมต้นทุนน้ำมันทั้งหมดที่เพิ่มขึ้นได้ นอก จากนี้ในปี 2548 คาดว่าค่าบริหารจัดการท่าเรือในยุโรปจะเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การทบทวนค่าภาระหน้าท่า (THCs) จึงจำเป็นต้องมีการปรับเพิ่มค่าระวางดังกล่าว" รายงานข่าวระบุ
ส่วนเส้นทางไทย-สหรัฐ ทางชมรม TSA (transpacific stabilization agreement) ประกาศปรับค่าระวางตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2548 โดยค่าระวางเส้นทางเอเชีย-สหรัฐฝั่งตะวันตก (west coast) จะเพิ่มขึ้นอีก 285 เหรียญสหรัฐต่อ TEU ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2548 ขณะที่อัตราค่าระวางเส้นทางเอเชีย-สหรัฐฝั่งตะวันออก (east coast) ซึ่งจะต้องผ่านคลองปานามาและคลองสุเอซเพิ่มขึ้น 430 เหรียญสหรัฐต่อ TEU
สาเหตุที่ปรับค่าระวางเพิ่มขึ้นเนื่องจากปริมาณความต้องการสินค้าจีนเพิ่มขึ้นมาก ทั้งกลุ่มสิ่งทอ-ของเล่นเด็ก และสินค้าอื่นๆ ทำให้ปริมาณความต้องการระวางเรือในปี 2547 เพิ่มขึ้น 15% และคาดว่าในปี 2548 ความต้องการจะเพิ่มขึ้น 12% สำหรับสายไทย-ญี่ปุ่น กับไทย-ตะวันออกกลาง คาดว่าจะประกาศปรับเพิ่มค่าระวางในเร็วๆ นี้
ด้านนายไพบูลย์ พลสุวรรณา เลขาธิการสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ให้ความเห็นกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ค่าระวางเรือในปี 2548 ปรับเพิ่มขึ้นไปมาก สาเหตุหลักเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตามมั่นใจว่า
การปรับเพิ่มขึ้นของค่าระวางจะไม่ส่งผลกระทบกับการส่งออกของไทย เนื่องจากสินค้าไทยส่วนใหญ่ส่งออกแบบ FOB และทั่วโลกยอมรับว่าราคาค่าระวางเพิ่มจึงยอมเพิ่มราคาสินค้า นอกจากนี้ในปี 2548 เรือขนาดใหญ่ที่บรรทุกตู้สินค้าได้ 8,000 ตู้ จะเริ่มต้นเดินเรือได้หลายลำ จะช่วยให้สถานการณ์ตู้สินค้าขาดแคลนลดลง และทำให้ต้นทุนการขนส่งในอนาคตลดลงด้วย
IMHO, I likely disagree with the article above. It seems the author looks to the past, rather than the future (well, at least for the next 3-4 years).
See their cash flow, demand/supply of shipping demand, NET PROFIT MARGIN (+40%), excessive cash (+2000 Mil THB for PSL) and growth due to the numbers of fleets (say 52s for PSL). How many other business in the stock market that can compete with PSL/TTA ?
See their cash flow, demand/supply of shipping demand, NET PROFIT MARGIN (+40%), excessive cash (+2000 Mil THB for PSL) and growth due to the numbers of fleets (say 52s for PSL). How many other business in the stock market that can compete with PSL/TTA ?
คุณคงไม่ได้อยู่บนเรือเมื่อปี 46 ล่ะสิครับAnonymous เขียน:ผมว่าบางที target price ก็เป็นเพียงราคาที่อยู่ในกระดาษซึ่งก้อไม่เคยไปถึงซักกะที รวมถึงหุ้น undervalue ตัวอื่นๆด้วยถ้าไม่มีเจ้ามือมาลาก :lol: ดังนั้นหากจะหวัง capital gain ผมว่ายากกก ในยุคนี้คงต้องหวังแค่ปันผลที่มากกว่าดอกเบี้ยแบงค์เท่านั้น
ทำลาย target price ไป 5 รอบล่ะมั๊ง 8)
Headline: Clarifying news on Business Day dated 16 Nov 2004
Symbol: PSL
Headline: Clarifying news on Business Day dated 16 Nov 2004
Time: 16 Nov 2004 11:42:28
Ref : 2004 - 055
16th November 2004
The Stock Exchange of Thailand (SET)
Stock Exchange of Thailand Building
9th Floor, 62 Ratchadapisek Road,
Klongtoey, Bangkok 10110
Attn : Director and Manger
The Securities and Exchange Commission
Re : Clarifying news on Business Day dated 16 November 2004
Regarding the news report in today's Business Day wherein certain profitability
and earnings estimates for Q4 2004 have been alleged to have been made by
the Managing Director, we wish to clarify as under:
The figure of Baht 3 per share as EPS for Q4 2004 was only provided as an answer to a pointed
question on the likely Q4 EPS IF there was no exchange loss and IF the Company's shipping
revenues follow the same increase in freight rates as the International Freight Markets,
which in Mangements' opinion was about 15% over Q3 2004. With the above conditions,
the estimated figure of about Baht 3 per share as the EPS for Q4 2004 was derived on
a simple extrapolation of the Q3 EPS as follows:
Q4 EPS =Q3 EPS(excluding Exchange losses):Baht 2.62 per share PLUS 15%
Thereafter, based on the above estimated EPS(which was clearly stated as being derived from
a mathematical extrapolation only), the News Reporter has derived, on his own, the profitability
figure of Baht 1.56 billion by simply multiplying the estimated EPS(Baht 3 per share) with the
number of outstanding shares of the Company(520 million shares).
The audited financial statements for the year 2004 including Q4 2004 will be announced through
the SET in February 2005 which should be the final basis for deriving the Q4 EPS.
Please be informed accordingly.
Yours faithfully,
For Precious Shipping Public Company Limited
_______________________ __________________________
Khalid Moinuddin Hashim Khushroo Kali Wadia
Managing Director Director
Headline: Clarifying news on Business Day dated 16 Nov 2004
Time: 16 Nov 2004 11:42:28
Ref : 2004 - 055
16th November 2004
The Stock Exchange of Thailand (SET)
Stock Exchange of Thailand Building
9th Floor, 62 Ratchadapisek Road,
Klongtoey, Bangkok 10110
Attn : Director and Manger
The Securities and Exchange Commission
Re : Clarifying news on Business Day dated 16 November 2004
Regarding the news report in today's Business Day wherein certain profitability
and earnings estimates for Q4 2004 have been alleged to have been made by
the Managing Director, we wish to clarify as under:
The figure of Baht 3 per share as EPS for Q4 2004 was only provided as an answer to a pointed
question on the likely Q4 EPS IF there was no exchange loss and IF the Company's shipping
revenues follow the same increase in freight rates as the International Freight Markets,
which in Mangements' opinion was about 15% over Q3 2004. With the above conditions,
the estimated figure of about Baht 3 per share as the EPS for Q4 2004 was derived on
a simple extrapolation of the Q3 EPS as follows:
Q4 EPS =Q3 EPS(excluding Exchange losses):Baht 2.62 per share PLUS 15%
Thereafter, based on the above estimated EPS(which was clearly stated as being derived from
a mathematical extrapolation only), the News Reporter has derived, on his own, the profitability
figure of Baht 1.56 billion by simply multiplying the estimated EPS(Baht 3 per share) with the
number of outstanding shares of the Company(520 million shares).
The audited financial statements for the year 2004 including Q4 2004 will be announced through
the SET in February 2005 which should be the final basis for deriving the Q4 EPS.
Please be informed accordingly.
Yours faithfully,
For Precious Shipping Public Company Limited
_______________________ __________________________
Khalid Moinuddin Hashim Khushroo Kali Wadia
Managing Director Director
ท่าน blueblood คาด eps ไตรมาส 4 ผิดไปหน่อยนะครับ
Time: 16 พ.ย. 2004 11:42:28
อ้างถึง : 2547-055 16 พฤศจิกายน 2547 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ชั้น 9, เลขที่ 62 ถนนรัชดาภิเษก, ตลองเตย, กรุงเทพฯ 10110
เรียน กรรมการและผู้จัดการ / ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เรื่อง ชี้แจงข่าวในหนังสือพิมพ์ Business Day ฉบับลงวันที่ 16พฤศจิกายน 2547
อ้างถึงข่าวปรากฎในหนังสือพิมพ์ Business Day ของวันนี้ (วันที่ 16พฤศจิกายน 2547) ที่ได้กล่าวถึงประมาณการกำไรสุทธิของไตรมาส4 ของปี 2547 บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (บริษัท) โดยกรรมการผู้จัดการบริษัท บริษัทขอชี้แจงดังต่อไปนี้
ตัวเลขกำไรต่อหุ้น 3 บาท สำหรับกำไรต่อหุ้นของไตรมาส 4 ของปี 2547 ที่กล่าวอ้างนั้น เป็นการตอบคำถามถึงความน่าจะเป็นของกำไรต่อหุ้นของไตรมาส 4 ปี 2547 โดยถ้าไม่นับรวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และถ้ารายได้จากการเดินเรือเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าระวางตามตลาดการขนส่งสากลแล้ว ซึ่งผู้บริหารมีความเห็นว่าน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 จาก ไตรมาส3 ของปี 2547 จากเงื่อนไขดังกล่าวได้มีการคำนวณกำไรต่อหุ้นไตรมาส4 อย่างง่ายจากกำไรต่อหุ้นของไตรมาส 3 ของปี 2547 ดังนี้
กำไรต่อหุ้นไตรมาส4 ของปี 2547 = กำไรต่อหุ้นไตรมาส 3 (ไม่รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน) = 2.62 บาท และเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 15 หลังจากนั้น นักข่าวได้คำนวณกำไรสุทธิออกมาที่ 1.56 ล้านบาท จากตัวเลขประมาณการกำไรต่อหุ้นข้างต้น โดยนำประมาณการกำไรต่อหุ้นที่ 3 บาท คูณ กับ จำนวนหุ้นสามัญที่ออกจำหน่ายของบริษัทที่ 520 ล้านหุ้น
อย่างไรก็ดี งบการเงินที่ตรวจสอบแล้วของบริษัทสำหรับปี 2547 ซึ่งจะรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 4ของปี 2547 ด้วย จะได้ประกาศให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งจะถือเป็นการยืนยันการคำนวณกำไรต่อหุ้นของไตรมาส4 ของปี 2547 ข้างต้น
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
ในนามของ บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน)
Headline: ชี้แจงข่าวในหนังสือพิมพ์ Business Day ฉบับลงวันที่ 16 พย 47ถ้าจะให้เป็นพีคจริงๆเอาเงินสดที่คาดว่าจะได้ใน Q4 คือไม่ตํากว่า 3.5 บาทต่อหุ้น คูณ4ไปเลย ปีหน้าก็น่าจะได้ 14 บาท ...
Time: 16 พ.ย. 2004 11:42:28
อ้างถึง : 2547-055 16 พฤศจิกายน 2547 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, ชั้น 9, เลขที่ 62 ถนนรัชดาภิเษก, ตลองเตย, กรุงเทพฯ 10110
เรียน กรรมการและผู้จัดการ / ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
เรื่อง ชี้แจงข่าวในหนังสือพิมพ์ Business Day ฉบับลงวันที่ 16พฤศจิกายน 2547
อ้างถึงข่าวปรากฎในหนังสือพิมพ์ Business Day ของวันนี้ (วันที่ 16พฤศจิกายน 2547) ที่ได้กล่าวถึงประมาณการกำไรสุทธิของไตรมาส4 ของปี 2547 บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (บริษัท) โดยกรรมการผู้จัดการบริษัท บริษัทขอชี้แจงดังต่อไปนี้
ตัวเลขกำไรต่อหุ้น 3 บาท สำหรับกำไรต่อหุ้นของไตรมาส 4 ของปี 2547 ที่กล่าวอ้างนั้น เป็นการตอบคำถามถึงความน่าจะเป็นของกำไรต่อหุ้นของไตรมาส 4 ปี 2547 โดยถ้าไม่นับรวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน และถ้ารายได้จากการเดินเรือเป็นไปตามการเพิ่มขึ้นของอัตราค่าระวางตามตลาดการขนส่งสากลแล้ว ซึ่งผู้บริหารมีความเห็นว่าน่าจะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 15 จาก ไตรมาส3 ของปี 2547 จากเงื่อนไขดังกล่าวได้มีการคำนวณกำไรต่อหุ้นไตรมาส4 อย่างง่ายจากกำไรต่อหุ้นของไตรมาส 3 ของปี 2547 ดังนี้
กำไรต่อหุ้นไตรมาส4 ของปี 2547 = กำไรต่อหุ้นไตรมาส 3 (ไม่รวมขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน) = 2.62 บาท และเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 15 หลังจากนั้น นักข่าวได้คำนวณกำไรสุทธิออกมาที่ 1.56 ล้านบาท จากตัวเลขประมาณการกำไรต่อหุ้นข้างต้น โดยนำประมาณการกำไรต่อหุ้นที่ 3 บาท คูณ กับ จำนวนหุ้นสามัญที่ออกจำหน่ายของบริษัทที่ 520 ล้านหุ้น
อย่างไรก็ดี งบการเงินที่ตรวจสอบแล้วของบริษัทสำหรับปี 2547 ซึ่งจะรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 4ของปี 2547 ด้วย จะได้ประกาศให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทราบภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 ซึ่งจะถือเป็นการยืนยันการคำนวณกำไรต่อหุ้นของไตรมาส4 ของปี 2547 ข้างต้น
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอแสดงความนับถือ
ในนามของ บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน)