บทเรียน สำหรับ VS

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
ล็อคหัวข้อ
chopper

บทเรียน สำหรับ VS

โพสต์ โดย chopper » จันทร์ พ.ย. 24, 2003 8:21 pm

เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง
ยามหุ้น พุ่งทยาน เหล่านักเกร็งกำไร สนุกสนาน
ใครถือหุ้นกินปันผล ถูกหัวเราะเยาะว่า
โง่หรือ กินปันผล ปีละ 5-6 %
คนอื่นเขา กำไร วันละ 5-6 %

พอยาม หมีมาเยือน พวกที่ติดหุ้น
ก็จะมาคุยว่า ที่ถือนี่รอรับปันผล นะ
หุ้นตกไม่เป็นไร ยังถือรอได้ มีปันผล
แต่ไม่ยอมบอกว่า ทุนหายไปครึ่งแล้ว

บทเรียนแบบนี้ มีให้เห็นทุกปี ๆๆๆๆๆๆๆๆ
นานๆๆๆ แสนนานๆๆๆๆ
หน้าเก่าไป หน้าใหม่มา
ก็ เป็นเช่นเดิม



chopper

โพสต์ โดย chopper » พฤหัสฯ. พ.ย. 27, 2003 7:06 pm

ผมอยู่มา 12 ปี ครับคุณ ปรัชญา
ที่จริง ผมน่าจะเรียก ตัวเองว่าเป็น VS มากกว่า
ไม่งั้นคงไม่รอดตอน 1700 จุดครับ
เพราะสั่งขายล้าง port ราคา floor อยู่ 2-3 วันกว่าจะหมด

ผมเลยอยากออกมาเตือน VS ครับ ให้เป็นบทเรียน
ไม่งั้น ก็จะติดดอยเสมอๆ
รักเป็น VI ไม่ต้องกังวลมาก รักเป็น VS ก็ ต้องใจนักเลงหน่อย
กล้าได้กล้าเสีย ข้อนี้สำคัญ เพราะส่วนใหญ่มีแต่กล้าได้

ใหนๆ คุณปรัชญา ว่ามาแล้วก็ขอบอกเลยละกัน
เมื่อ 12 ปีก่อน เริ่มด้วย 300000
ตอนนี้ ประมาณ 60 ลบ
แต่ระหว่างนั้น มีเงินเดือนเหลือก็ ลงไปหมด เพิ่มทุนเท่าที่มี

ตอนนี้ เป็นพวกผสม 2 แบบครับ แต่ยังชอบพวก Wมากๆ



อภินัย

โพสต์ โดย อภินัย » พฤหัสฯ. พ.ย. 27, 2003 11:49 pm

สุดยอดเลยครับเฮียปรัชญา ที่จริงผมรู้จักเวบเกี่ยวกับหุ้นที่ไม่ใช่ของทางการแห่งแรกก็ที่นี่อ่านอยู่นานหลายเดือนแต่ก็บอกตัวเองไม่ได้ว่าจะเป็น vi ที่รำรวยได้อย่างไรโดยไม่มีสมบัติบรรพบุรุษมาเป็นทุน แม้ว่าตัวที่ผมถือจะโตปีละสิบเปอร์เซ็นต์ ไหนจะกันสำรอง ไหนจะกันสะสม ไหนจะลงทุนใหม่ขยายกิจการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน(กันท่าคู่แข่ง)ยิ่งอยู่ไปนานๆวงจรชีวิตธุรกิจก็ไม่แน่นอนดูอย่างตระกูลน้ำเป็นตัวอย่างจะอยู่อีกกี่ปี profit margin ลดลงเรื่อยๆ จะเหลือแบ่งให้ผมซักเท่าไร เก็บไว้ในกองกลางเป็นหลัก ยามเจ็บป่วยฉุกเฉินก็เบิกไม่ได้ อย่างมากก็แค่ไว้คุยว่าเป็นหุ้นส่วน(น้อย)ของกิจการระดับประเทศ ถึงพื้นฐานจะดีตามทฤษฎีแต่ไม่เห็นตัวไหนเหนืออารมณ์ตลาดได้ ถึงราคาจะโตแต่จะยึดเป็นสรณะเดี่ยวๆก็โตไม่ทันกิเลสตัณหาของผมและบริวาร ถ้าจะเอาแค่รักษาเงินต้นกับปันผลค่ากับข้าวผมไม่เถียง เลยยึดถือ vs เป็นหลักถือคติน้ำขึ้นรีบตักเหนื่อยหน่อยที่คอยมองหาบ่อน้ำที่กำลังเอ่อขึ้นมาให้ตักเหมือนขับรถมองข้างหน้าเป็นหลัก มองกระจกหลังแบบ vi ผมก็มองบ้างในบางประเด็นแต่ให้น้ำหนักค่อนข้างน้อย จะเป็น vi ก็เป็นช่วงสั้นๆกับตัวโน้นทีตัวนี้ที โดนใจที่เฮียปรัชญาพูดถึงท่าน ดร. ไม่มีใครเก่งเกินตลาดผมเข้าใจอย่างนั้นแต่เราเอาชนะตลาดรวมได้ถ้าเราดูตลาดเป็นส่วนๆ(รายตัว)ตลอดเวลาน้ำขึ้นตรงไหนก็ไปตักตรงนั้นขยันหน่อย
ต้องขอโทษชาว vi ด้วยโดยเฉพาะเกจิทั้งหลาย ปกติผมก็เข้ามาอ่านประจำไม่เคยโพสท์แต่หาข้อมูลไปเป็น vs วันนี้เวบตลาดหุ้นเดี้ยง กะมาตามหาเพื่อนๆเจอข้อความเฮียปรัชญาเลยแสดงความเห็นหน่อย



อภินัย

โพสต์ โดย อภินัย » พฤหัสฯ. พ.ย. 27, 2003 11:49 pm

สุดยอดเลยครับเฮียปรัชญา ที่จริงผมรู้จักเวบเกี่ยวกับหุ้นที่ไม่ใช่ของทางการแห่งแรกก็ที่นี่อ่านอยู่นานหลายเดือนแต่ก็บอกตัวเองไม่ได้ว่าจะเป็น vi ที่รำรวยได้อย่างไรโดยไม่มีสมบัติบรรพบุรุษมาเป็นทุน แม้ว่าตัวที่ผมถือจะโตปีละสิบเปอร์เซ็นต์ ไหนจะกันสำรอง ไหนจะกันสะสม ไหนจะลงทุนใหม่ขยายกิจการเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน(กันท่าคู่แข่ง)ยิ่งอยู่ไปนานๆวงจรชีวิตธุรกิจก็ไม่แน่นอนดูอย่างตระกูลน้ำเป็นตัวอย่างจะอยู่อีกกี่ปี profit margin ลดลงเรื่อยๆ จะเหลือแบ่งให้ผมซักเท่าไร เก็บไว้ในกองกลางเป็นหลัก ยามเจ็บป่วยฉุกเฉินก็เบิกไม่ได้ อย่างมากก็แค่ไว้คุยว่าเป็นหุ้นส่วน(น้อย)ของกิจการระดับประเทศ ถึงพื้นฐานจะดีตามทฤษฎีแต่ไม่เห็นตัวไหนเหนืออารมณ์ตลาดได้ ถึงราคาจะโตแต่จะยึดเป็นสรณะเดี่ยวๆก็โตไม่ทันกิเลสตัณหาของผมและบริวาร ถ้าจะเอาแค่รักษาเงินต้นกับปันผลค่ากับข้าวผมไม่เถียง เลยยึดถือ vs เป็นหลักถือคติน้ำขึ้นรีบตักเหนื่อยหน่อยที่คอยมองหาบ่อน้ำที่กำลังเอ่อขึ้นมาให้ตักเหมือนขับรถมองข้างหน้าเป็นหลัก มองกระจกหลังแบบ vi ผมก็มองบ้างในบางประเด็นแต่ให้น้ำหนักค่อนข้างน้อย จะเป็น vi ก็เป็นช่วงสั้นๆกับตัวโน้นทีตัวนี้ที โดนใจที่เฮียปรัชญาพูดถึงท่าน ดร. ไม่มีใครเก่งเกินตลาดผมเข้าใจอย่างนั้นแต่เราเอาชนะตลาดรวมได้ถ้าเราดูตลาดเป็นส่วนๆ(รายตัว)ตลอดเวลาน้ำขึ้นตรงไหนก็ไปตักตรงนั้นขยันหน่อย
ต้องขอโทษชาว vi ด้วยโดยเฉพาะเกจิทั้งหลาย ปกติผมก็เข้ามาอ่านประจำไม่เคยโพสท์แต่หาข้อมูลไปเป็น vs วันนี้เวบตลาดหุ้นเดี้ยง กะมาตามหาเพื่อนๆเจอข้อความเฮียปรัชญาเลยแสดงความเห็นหน่อย



+++unlog

โพสต์ โดย +++unlog » ศุกร์ พ.ย. 28, 2003 1:17 pm

สงสัย
VI อาจแปลได้เป็นว่า

Value Insider

อิอิ...


ผมอาจจะเห็นไม่เหมือนเพื่อนๆ นะครับ
ตัว ดร. ท่านเองก็บอกไว้นะครับว่า

VI มีหลายพันธุ์

บางคนหวังปันผล
บางคนหวัง capital Gain


ส่วนหลักการที่พี่ปรัชญา พูดถึง ท่าน ดร. นั้น ผมว่า
ท่านทำตามหลักการของ Peter Lynch นะครับ

ไม่รู้เรียกว่า insider หรือป่าว

เพราะ มันมีเรื่องเล่า ตอนที่ Lynch แก ทุ่มซื้อ Crysler
ก็มีแต่คนร้องยี๊... แต่แก ก็ซื้อเอาๆ

ส่วนนึง เพราะแกได้คุยกับผู้บริหาร และจับทิศทางตลาดได้ถูก



และผมว่า การที่ท่านดร. แกเอาชื่อตีแตก เป็นชื่อหนังสือ

ก็เป็นการบอกเป็นนัยนะครับ แกชอบเล่นไพ่

แกชอบเสี่ยง แกชอบเดิมพัน

เดิมพันโดยการตัดความเสี่ยง ให้น้อยที่สุด



ผมว่า แกไม่ได้หลอกเราหรอกครับ
ส่วนเรานั้น หลอกตัวเอง
ว่า การเป็น VI คือ การกินเงินปันผล

อิอิ...


ขออภัย ถ้าจะไปขัดแย้งกับใครบางคนนะครับ
ถือว่า ขอร่วมแสดง comment เฉยๆ ครับผม

อิอิ..



ผมว่า อย่าไปจับผิด กับคำบางคำพูด ของแกเลยครับ
คนเราบางทีผิดพลาดกันได้
เอาที่ context หรือ ใจความ ดีกว่า

ซึ่งเราปฏิเสธ ไม่ได้ว่า ท่านดร.
ท่านเป็นผู้บุกเบิก แนว Value ในประเทศไทย
อันนี้ต้องขอให้เครดิตครับ

ถ้าไม่มีแก ป่านนี้ ก็ยังคงดู แนวรับแนวต้านกันอยู่

อิอิ



ผ่านมา

โพสต์ โดย ผ่านมา » พฤหัสฯ. ธ.ค. 04, 2003 2:13 pm

ผมว่า LOSO คืออาจารย์นิเวศ แต่หรือคุณ +++ UNLOG คืออาจารย์นิเวศ



_THiNK_

โพสต์ โดย _THiNK_ » พฤหัสฯ. ธ.ค. 04, 2003 2:55 pm

VI หรือ VS คงไม่สำคัญ

Graham พยามทำให้นักลงทุนเป็น Intelligent Investor

ซึ่งน่าจะให้ความสำคัญมากกว่า แค่ชื่อ VI หรือ VS

เปล่าประโยชน์ที่จะรู้ว่าเขาเป็นใคร ถ้าไม่รู้ว่าเราเป็นใคร



Golden Stock.

โพสต์ โดย Golden Stock. » ศุกร์ ธ.ค. 05, 2003 6:07 am

ได้อ่านแล้วได้มุมมองที่ดีมากเลยครับ ก็เลยทำให้อยากร่วมแสดงความเห็นสักนิดหน่อย

ผมก็เคยอ่านหนังสือตีแตกครับ คิดว่าแนวคิดก็ใช้ได้ครับ เป็นพื้นฐานสำหรับคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งยังไม่เพียงพอ

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ควรจะวิเคราะห์บริษัทในด้านของข้อมูลทางการเงิน ด้วยอัตราส่วนทางการเงินที่สำคัญต่าง มากกว่าการดูแค่ค่า pe และ pb และควรดูในด้านอื่นด้วยนอกจากงบการเงิน คือกิจกรรมต่างๆ ของบริษัท เช่น การบริหาร การดำเนินงาน การตลาด เป็นต้น นอกจากนี้ควรจะวิเคราะห์ถึงปัจจัยแวดล้อมภายนอกที่เกี่ยวข้องกับบริษัท ซึ่งตรงนี้จะไปสร้างโอกาส และภัยคุกคามแก่บริษัท โดยที่ปัจจัยแวดล้อมต่างจะมีการเปลี่ยนแปลง เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา

ตัวอย่างในหนังสือตีแตก ก็มีการวิเคราะห์คล้ายในลักษณะที่กล่าว เช่น ค่าเงินที่บาทที่อ่อนลงจากยี่สิบห้าบาทไปเป็นสี่สิบห้าบาท ถือเป็นโอกาสจากปัจจัยแวดล้อมภายนอกของบริษัทโชติฯ แต่ตัวอย่างนี้ไม่ได้วิเคราะห์เป็นรูปแบบให้ดู และไม่ได้กล่าวถึงหลักการหรือทฤษฎีในหนังสือตีแตกเท่านั้นเองครับ สำหรับคนที่ศึกษาในระดับ MBA หรือเกี่ยวกับบริหารธุรกิจน่าจะเข้าใจว่าท่านดร.นิเวศน์เขียน แต่คนที่ไม่ได้เรียนมาทางด้านนี้ก็อาจจะไม่เข้าใจ อย่างเช่น การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ทำอย่างไร หรือปัจจัยแวดล้อมภายนอกมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ณ วันนั้นอาจจะเป็นโอกาส แต่ทว่าต่อมาอาจจะเป็นภัยคุกคาม ซึ่งก็เป็นด้านลบของหนังสือที่เขียนรายเอียดเกี่ยวกับการลงทุนที่น้อยเกินไป แล้วอาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดได้ว่า เพียงแค่ในหนังสือตีแตกก็เพียงพอแล้วสำหรับการเป็นลงทุน

ส่วนแนวคิดการวิเคราะห์หุ้นแบบพื้นฐาน ผมยอมรับว่าดีครับ เพราะว่าอย่างน้อยทำให้เรารู้ว่าหุ้นตัวไหนควรซื้อ หรือควรขาย คือบริษัทที่ดีบางทีไม่ใช่ว่าราคาจะต้องถูกไปด้วย ควรจะซื้อตอนที่เราวิเคราะห์แล้วคิดว่าถูก ส่วนการถือหุ้นผมว่าระยะเวลาเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ครับ คือไม่แน่นอน เช่น ถ้าพื้นฐานของบริษัทเปลี่ยนก็ขาย คิดว่า over value ก็ขาย ปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนไปในทางที่สร้างภัยคุกคามแก่บริษัทก็ขาย เป็นต้น

ก็ขอแสดงความคิดเห็นแค่นี้ครับ ขอให้ทุกท่านโชคดีในการลงทุนครับ



ประจวบ

โพสต์ โดย ประจวบ » ศุกร์ ธ.ค. 05, 2003 10:15 pm

ผมเป็นแฟนพันธ์แท้ของอจ.นิเวศน์ตั้งแต่อ่าน"ตีแตก"จบเมื่อ2ปีก่อน
และติดตามงานเขียนของอจ.ในกรุงเทพธุรกิจมาตลอดโดยตัดเก็บไว้ในสมุดวาดเขียนได้8เล่มพอดี
ถ้าสรุปแล้วจะมีการเขียนอยู่4แนว
1.หลักการเบื้องต้นของการลงทุนแบบvi โดยเฉพาะปรัชญาที่ลงทุนหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก มีปันผลดีกว่าเงินฝาก ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนพอสมควร (แต่ไม่ได้บอกว่าจะรวยเร็ว)และการควบคุมใจตัวเอง
2.วิธีหาความรู้การลงทุนแนวviต่อไป โดยแนะนำหนังสือ แหล่งข้อมูล
3.ข้อเตือนสติบางช่วง เช่น ตลาดกระทิง ช่วงสงคราม การลงทุนแบบvs
4.แนะนำหุ้นเป็นบางครั้งเช่น หุ้น ร.พ. (แต่น้อยครั้งมาก) เตือนเป็นบางตัว เช่น หุ้นตลาดmai ช่วงบูม...
ผมว่าเหมือนกับอจ.สอนให้เรารู้จักจับปลาเองโดยยกตัวอย่างที่ผ่านมาที่อจ.เคยทำ แต่ข้อมูลเป็นช่วงปี40ซึ่งช่วงนั้นหุ้นส่งออกได้อานิสงฆ์จริงๆ แต่เอามาใช้ปัจจุบันไม่ได้ ใครตามแบบโต้งๆจึงเจ๊ง และหุ้นบางตัวพื้นฐานก็เปลี่ยนไปจนดูไม่ได้ แต่หุ้นviหลายตัวที่แนะนำไว้ในตีแตกก็ยังvi จริงๆโดยเฉพาะstanly metcoแต่จะvi ต่อไปหรือไม่ อีกนานเท่าไหร่ไม่มีใครรู้ ดังนั้นควรยึดเอาหลักปรัชญาของการลงทุนมาใช้ไม่ใช่จำชื่อหุ้นโต้งๆ
ผมเผอิญได้อ่าน essay to shareholder+ceo ของw.b.ซึ่งเค้ารวมข้อเขียนถึงผู้ถือหุ้นของเบอกไชย์แฮททาเวย์ปีละครั้งเอาไว้หลายๆปี (น้อยกว่าที่อจ.นิเวศน์เขียนไว้แค่2ปีมาก) และถือเป็นคัมภีร์ของชาวviจากปากของw.b.เอง(ที่เราอ่านจากหลายที่นั้นเป็นความเห็นของผู้เขียนบวกเข้าไปด้วย ทำให้การลงทุนแนวvi แบบw.b.มีทั้งแบบmary b. และแบบr.hagstrom )
w.b.เค้ายินดีแลกเปลี่ยนหลักปรัชญาในการลงทุนกับผู้ถือหุ้นของเบอกไชย์ อย่างเปิดเผย แต่เค้าจะไม่บอกชื่อหุ้นที่เค้าลงทุนซื้อหรือที่เค้าขายทิ้งเพราะต่อไปเค้าอาจซื้อเพิ่มอีกก็ได้ ( เค้าจะเปิดเผยเฉพาะที่ก.ม.บังคับเท่านั้น) เพราะถ้ามีคนรู้จะทำให้เค้าต้องซื้อแพงขึ้น
ผมว่าอจ.นิเวศน์ก็คล้ายๆกันครับ
เป็นความใจกว้างที่อจ.ออกมายืนแถวหน้าของการลงทุนแบบvi และสอนเคล็ดวิชาvi ให้กับสาธารณะชนรู้เท่ากับเพิ่ม"คู่แข่ง"ในอนาคต จะเห็นว่ามีviเกิดใหม่จำนวนมากจากงานเขียนของอจ. โดยเฉพาะwebแห่งนี้ก็เกิดขึ้นมาจากจุดนี้
แต่ในฐานะนักลงทุนเช่นกันที่อจ.คงไม่เปิดเผยหุ้นที่จะซื้อจะขาย(แบบพวกปั่นหุ้น)เพราะจะทำให้ต้นทุนของการเก็บหุ้นแพงขึ้นอย่างstanlyพวกเราไปรู้กันเองไม่ใช่อจ.ออกข่าว ผมไม่คิดว่าที่อจ.มาสอนเคล็ดวิชาviให้พวกเราโดยยกตัวอย่างประกอบจะเป็นการ"หลอก"ให้ออกของที่ตัวเองถือได้แพงขึ้น
ที่ผมpost ข้อเขียนนี้ขึ้นเพราะไม่อยากให้อจ.เสียกำลังใจ เพราะอาจทำให้ไม่ได้อ่านข้อเขียนที่มีคุณค่าแบบนี้ต่อในอนาคต



CEO

โพสต์ โดย CEO » เสาร์ ธ.ค. 06, 2003 9:27 am

ผมเห็นด้วยกับคุณปรัชญานะครับเรื่องดร นิเวศน์
ผมก็ซื้อมาอ่านเกือบทุกเล่มที่แกเขียนมาขาย
แต่บางเล่มแค่ยืนอ่านผ่านๆที่ร้านก็เข้าใจแล้ว
ผมไม่ได้อวดเก่งหรือตีตนเสมอคนที่จบ ดร ครับ

แต่ที่แกเขียนมาขายทั้งหมดนั้นมันแค่กระพี้ครับ
ไม่ใช่แก่น
ก็เหมือนที่พูดกันว่าคนไทยนับถือพุทธ แต่พุทธแค่กระพี้หรือเข้าถึงแก่น ถ้าไม่ทราบลองไปหาหนังสือแก่นพุทธศาสตร์มาอ่านดู

หรือมันคือเรื่องเบื้องต้น เหมือนเรียนปี 1 ในมหาลัยแค่นั้นเอง
ส่วนหมัดเด็ดนั้นผมรับรองว่าไม่มีใครสอนแม้จะยอมเสียเงินไปเรียนมาแพงๆก็ตามเพราะมันเป็นวิชาหาเงินของเขาคนเดียวเท่านั้น

ในโลกนี้อาจจะมีศิษยืก้นกุฎิของแกสักคนหนึ่งที่แกอาจจะถ่ายทอดวิชาให้....
ซึ่งอาจจะเป็นภรรยาหรือลูกของแกเอง...

สรุปแล้วนักลงทุนทุกคนรวมถึงผมก็ต้องหาแนวทางของตัวเองต่อไป สรุปบทเรียนและทำตามแนว PDCA ครับ



new comer

โพสต์ โดย new comer » เสาร์ ธ.ค. 06, 2003 9:07 pm

อ่านบทวิจารณ์ ตั้งแต่ต้นมา ผมขอแสดงความคิดบ้างครับ

สมันก่อนพวกเรา เล่นหุ้นกันอย่างไร เล่นการพนันชัดๆ ครับ
ผมก็เป็นเช่นนั้น ถึงแม้จะมีกำไร แต่มองย้อนกลับไป
ไม่รู้ว่ารอดมาได้อย่างไร เช่น BLAND 200 บาท KMC 180
เล่น ทั้งที่ไม่รู้ว่า มันแพงมหาศาล

จุดประกาย ที่ทำให้ผมมีวันนี้ คือ หนังสือ ตีแตกครับ
ก็ต้องขอแสดงความขอบคุณ ระลึกถึงบุญคุณ ที่อาจารย์ นิเวศน์
เขียนหนังสือนี้ออกมา ให้สังคมไทยได้รับรู้ แนวทางการลงทุน
ก่อนอ่านหนังสือท่าน ผมไม่รู้จัก Buffet หลังอ่านหนังสือท่าน
ผมมองหาหนังสือที่ท่านพูดถึง จึงได้เปิดโลกทัศน์ในการลงทุน

ถึงแม้นหนังสือท่าน จะไม่สมบูรณ์ที่สุด ที่ทำให้บางท่านตีความผิดพลาด
แต่ไม่ใช่ความผิดพลาดของผู้เขียน แตเป็นความผิดพลาดของผู้อ่านที่
จับประเด็นเล็กๆ ไปใช้ ก่อนที่จะเข้าใจแก่นแท้
เปรียบเสมือน พระธรรม นั้นเป็นของแท้ แต่มีการตีความมากมาย
เกิดการเข้าใจผิด และ นิกายต่างๆ มากมาย ถกเถียงกันไม่เลิก

แต่โชคดี ที่การลงทุนแบบเน้นคุณค่า ยังมีผู้ถ่ายทอดที่ยังมีชีวิตอยู่
ถ้าเราติดตาม อ่านข้อคิด ของ Buffet เสมอ ๆ เราคงไม่หลงประเด็น
เมื่อ ย้อนกลับมาดู ตีแตก อีกครั้ง ก็จะตีความในหนังสือ แตก จริงๆ

เรื่องการตีความ ไม่เฉพาะลูกศิษย์ อาจารย์นิเวศน์ เท่านั้นที่สับสน
แม้แต่ลูกศิษย์ Graham เอง ตั้งหลายคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็มีแนวทางการลงทุนที่แตกต่างกัน ในรายละเอียด

สำหรับ คุณ ปรัชญา คุณเป็นคนดี ผมเลื่อมใสครับ
แต่ผมก็ขอแสดงความคิดเห็นในมุมมองของผมที่มีต่อ อาจารย์นิเวศน์
ขอความเป็นธรรมให้ท่านครับ และผมคิดว่าท่านคงอ่านกระทู้นี้อยู่ครับ

ที่สุดแล้ว ผมขอยกท่านอาจารย์ นิเวศน์ เป็นครูคนแรกของผม
ถัดมา คือ Buffet , Fisher , Lynch ครับ

....... ขอคารวะ ด้วยใจจริง......



ล็อคหัวข้อ