โค้ด: เลือกทั้งหมด
เศรษฐกิจโลกหากมองจากแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศหลักคือยุโรป อเมริกา ญี่ปุ่น และจีน ก็ต้องสรุปว่ามีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ฟันธงได้ว่าความเสี่ยงที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะต่ำกว่าเป้ามีมากว่าความเสี่ยงที่จะเห็นเงินเฟ้อปรับตัวสูงเกินคาดแม้ธนาคารกลางสหรัฐจะได้ประกาศมาตรการคิวอี 3 (พิมพ์เงินเพิ่มเพื่อซื้อพันธบัตรเอกชนเดือนละ 40,000 ล้านเหรียญ) ตามด้วยการประกาศเพิ่มการซื้อพันธบัตรของธนาคารกลางญี่ปุ่นเพื่อสกัดกั้นการแข็งค่าของเงินเยน การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกำลังส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย เห็นได้จากการส่งออกเดือนสิงหาคมซึ่งหดตัวลงเกือบ 7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยการชะลอตัวของการส่งออกมิได้กระจุกตัวอยู่ที่ยุโรปแต่ชะลอตัวในเกือบทุกตลาดส่งออกของไทย
สำหรับการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศหลักๆ สรุปได้ดังนี้
เศรษฐกิจโลกโดยรวม : กรรมการผู้จัดการไอเอ็มเอฟ นาง Lagarde ได้บอกใบ้เอาไว้แล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าไอเอ็มเอฟจะปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีหน้าลงไปจาก 3.9% อีกเล็กน้อยเพื่อสะท้อนการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกที่เกิดจากความไม่แน่นอน ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ยังขาดความชัดเจนของยุโรปและสหรัฐ นาง Lagarde แสดงความเป็นห่วงว่าความไม่แน่นอนดังกล่าวได้ส่งผลให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศตลาดเกิดใหม่ชะลอตัวลงบ้างแล้ว
ยุโรป : ยังเป็นศูนย์กลาง (epicenter) ของความเปราะบางของเศรษฐกิจโลก กล่าวคือ แบงก์ออฟอเมริกา-เมอร์ริลลินช์ ซึ่งเป็นพันธมิตรของภัทรประเมินว่าเศรษฐกิจของยุโรปจะหดตัวลงติดต่อกัน 2 ปี กล่าวคือเศรษฐกิจยุโรปจะติดลบ 0.7% ในปีนี้และติดลบอีก 0.7% ในปีหน้า โดยเมอร์ริลลินช์เปรียบเทียบว่ายุโรปนั้นเสมือนติดอยู่ในทรายดูด (quicksand) ของการที่ประเทศในภาคใต้ (สเปน อิตาลี กรีก โปรตุเกส) ยังต้องรัดเข็มขัดทางการคลัง ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว หนี้สาธารณะต่อจีดีพีสูงขึ้น (เพราะจีดีพีลดลง) ทำให้ต้องรัดเข็มขัดมากขึ้น ประเทศที่ย่ำแย่มานานแล้วคือกรีกก็ยังย่ำแย่อยู่และยังตกลงกันไม่ได้ว่ากรีกจะได้รับเงินช่วยเหลืองวดใหม่หรือไม่ เพราะเศรษฐกิจตกต่ำมากจึงพลาดเป้าการลดการขาดดุลงบประมาณ ทำให้ต้องรัดเข็มขัดเพิ่มขึ้นอีก แต่ประชาชนกรีกใกล้จะหมดความอดทนแล้ว (เพราะเศรษฐกิจติดลบติดต่อกันเข้าปีที่ 5 แล้ว) ทำให้ยังมีความเสี่ยงว่าหากตกลงกันไม่ได้รัฐบาลกรีกอาจต้องพักชำระหนี้ในกลางเดือนตุลาคม
สำหรับสเปนนั้นสถานการณ์ก็น่าเป็นห่วงมากขึ้น แม้ว่าการประกาศมาตรการ outright monetary transaction (OMT) ของธนาคารกลาง (อีซีบี) จะทำให้นักลงทุนพึงพอใจอยู่ได้ระยะหนึ่ง แต่ปัญหาก็กำลังกลับมารุมเร้าสเปนเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจสรุปได้ดังนี้คือ
1. ประชาชนไม่พอใจมาตรการรัดเข็มขัดทางการคลังอย่างมากและเดินขบวนต่อต้านจนเกิดการปะทะกันขึ้นที่กรุงมาดริดเมื่อวันที่ 25 กันยายน เพราะนายกรัฐมนตรีราฮอย เคยสัญญาเอาไว้ก่อนได้รับเลือกตั้งว่าจะไม่ดำเนินนโยบายรัดเข็มขัดทางการคลัง แต่ต่อมาต้องกลับคำเพราะนักลงทุนขาดความมั่นใจ ทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลปรับเพิ่มขึ้นเป็น 7%
2. มาตรการ OMT ที่กล่าวข้างต้นคือการที่อีซีบีสัญญาว่าจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลสเปนโดยไม่จำกัดจำนวนในตลาดรองเพื่อช่วยลดดอกเบี้ยพร้อมกับการนำเอาเงินส่วนหนึ่งจากกองทุนอีเอสเอ็ม (มูลค่ารวม 5 แสนล้านยูโร) มาซื้อพันธบัตรรัฐบาลสเปนที่ออกใหม่ ซึ่งจะช่วยสถานะทางการเงินของรัฐบาลสเปนอย่างมาก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นรัฐบาลสเปนจะต้องลงนามในบันทึกช่วยจำเพื่อรับเงื่อนไขจากภายนอก ซึ่งรวมถึงการให้ไอเอ็มเอฟเข้ามาช่วยควบคุมให้เป็นไปตามเงื่อนไขดังกล่าวด้วย ซึ่งในทางการเมืองนั้นย่อมจะทำให้ความนิยมของนายกราฮอยตกต่ำลงไปอีก เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าเงื่อนไขหนึ่งที่จะถูกตั้งขึ้นให้รัฐบาลต้องยอมรับคือการลดบำนาญลงทั่วประเทศ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่นายกราฮอยเคยยืนยันว่ารับไม่ได้
3. สเปนประกอบด้วยแคว้นที่มีความรู้สึกในทางชาตินิยมในระดับท้องถิ่นสูง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้รัฐบาลกลางคุมการขาดดุลงบประมาณโดยรวมไม่ได้ เพราะไม่มีอำนาจคุมการขาดดุลในระดับแคว้นต่างๆ ทำให้แคว้นต่างๆ มีปัญหาทางการเงินและรัฐบาลต้องตั้งกองทุนเพื่อให้ความช่วยเหลือ ทั้งนี้เพื่อแลกกับการเข้าไปคุมวินัยทางการคลังของแคว้นดังกล่าว แต่ก็เกิดปฏิกิริยาทางการเมืองจากแคว้น Catalonia ซึ่งขาดดุลงบประมาณสูงและได้ขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลกลางพร้อมกับการขอลดการส่งรายได้เข้าไปยังส่วนกลาง แต่ถูกนายกราฮอยปฏิเสธ ทำให้ผู้นำของแคว้นประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 25 พฤศจิกายน โดยประกาศให้การเลือกตั้งดังกล่าวเป็นเสมือนการลงประชามติพร้อมกันไปว่า แคว้น Catalonia จะแยกตัวออกจากประเทศสเปนหรือไม่ ทั้งนี้แคว้น Catalonia มีขนาดประมาณ 20% ของจีดีพีของสเปนทั้งหมด เมืองหลวงของ Catalonia คือนคร Barcelona ก็เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของสเปนที่สำคัญแห่งหนึ่ง ทำให้เห็นว่าปัญหาเศรษฐกิจของสเปนกำลังพัฒนาไปสู่วิกฤติทางการเมืองและรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะยิ่งทำให้ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
4. อิตาลีนั้นแม้จะขาดดุลงบประมาณไม่มาก (ประมาณ 2.3% ของจีดีพีในปีนี้) แต่ก็พลาดเป้าทำให้ต้องรัดเข็มขัดทางการคลังเพิ่มขึ้นอีกในปีหน้า ผลที่ตามมาคือเศรษฐกิจอิตาลีก็น่าจะยังหดตัวลงอีก 1.2% ในปีหน้าตามการคาดการณ์ของเมอร์ริลลินช์ เรื่องนี้อาจส่งผลต่อสถานะทางการเมืองของรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีมอนตี้ ซึ่งเป็นรัฐบาลคนนอกที่ต้องได้รับการสนับสนุนจากพรรคการเมืองที่จะต้องเผชิญหน้ากับการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า
สหรัฐอเมริกา : แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐออกมาตรการคิวอี 3 เพื่อช่วยอุ้มเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ แต่ผมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่ามาตรการกดดอกเบี้ยของสหรัฐ (ทั้งดอกเบี้ยระยะสั้นและระยะยาว) นั้นนอกจากจะไม่ช่วยแล้วก็อาจทำให้ขาดแรงชักจูงในการแก้ปัญหาอีกด้วย เพราะธนาคารกลางสหรัฐได้ดำเนินการพิมพ์พันธบัตรออกมาเป็นรอบที่ 3 แล้ว แต่เท่าที่ผ่านมาเงินที่พิมพ์ออกไปนั้นธนาคารพาณิชย์ก็ไม่ได้นำไปปล่อยกู้ต่อให้กับประชาชนแต่กลับนำเงินกลับมาฝากที่ธนาคารกลาง ทั้งนี้อาจเป็นเพราะธนาคารพาณิชย์สหรัฐระมัดระวังเป็นพิเศษอันเป็นผลพวงมาจากกฎหมายควบคุมธนาคารฉบับใหม่ที่มีความรัดกุมเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นประชาชนก็ยังมีปัญหาหนี้มาก แต่มีงานทำน้อย ทำให้อัตราดอกเบี้ยไม่ใช่ปัจจัยหลักในการประเมินความเป็นไปได้ของการปล่อยสินเชื่อ
สำหรับส่วนที่ดอกเบี้ยต่ำจะทำให้ขาดแรงจูงใจนั้น เพราะตราบใดที่รัฐบาลสหรัฐยังกู้เงินได้ที่ดอกเบี้ย 0.25% ในการออกพันธบัตร 2 ปีก็ไม่น่าที่รัฐบาลสหรัฐจะเห็นความเร่งรีบในการเพิ่มวินัยทางการคลัง (เพราะเงินเฟ้ออยู่ที่ 2.5% แปลว่ายิ่งกู้ก็ยิ่งได้เปรียบ) นอกจากนั้นก็ยังมีความขัดแย้งทางการเมืองซึ่งไม่น่าจะลดลงจนกว่าหลังการเลือกตั้งในวันที่ 6 พฤศจิกายน ซึ่งจะมีผลในการยืดอายุกฎหมายลดภาษีหลายฉบับที่จะหมดอายุลงในวันที่ 31 ธันวาคม ทำให้แรงกระตุ้นจากภาครัฐหายไปถึง 4% ของจีดีพี ผู้ที่มองโลกในแง่ดีก็จะเชื่อว่าประธานาธิบดี (ซึ่งน่าจะยังเป็นนายโอบามาแห่งพรรคเดโมเครต) กับรัฐสภา (ซึ่งพรรคริพับลิกันน่าจะยังได้เสียงข้างมากในสภาล่าง) จะตกลงกันได้ในที่สุด แต่เรากำลังเริ่มเห็นว่าธุรกิจต่างๆ เริ่มรับรู้ความเสี่ยงข้างต้น ทำให้ชะลอการตัดสินใจลงทุน จ้างงาน ฯลฯ ซึ่งเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจที่ยังอ่อนแออยู่ในขณะนี้
จีน : อยู่ระหว่างการผลัดเปลี่ยนผู้นำ จึงอาจทำให้นโยบายต่างๆ ขาดความต่อเนื่อง และการผ่อนปรนทางเศรษฐกิจ (ทั้งนโยบายการคลังและการเงิน) ที่นักลงทุนคาดหวังก็ไม่เกิดขึ้น นอกจากนั้นความขัดแย้งกับญี่ปุ่นเกี่ยวกับความเป็นเจ้าของเกาะ Senkakus (ชื่อของญี่ปุ่น) หรือ Diaoyu (ชื่อของฝ่ายจีน) ก็ได้บานปลายกระทบกับธุรกิจและความน่าลงทุนของจีน และกระทบกับรายได้และการส่งออกของญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ อันจะเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง ที่สำคัญคือโดยปกติแล้วเรามักจะเชื่อกันว่ารัฐบาลจีนมีอำนาจและความสามารถสูงในการควบคุมรักษาเสถียรภาพและความสงบในประเทศ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้อาจมีการตั้งคำถามได้ว่าในช่วงผลัดเปลี่ยนผู้นำนั้น อำนาจในการควบคุมเสถียรภาพและความสงบในประเทศนั้นด้อยลงหรือไม่
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 1 ตค. 55