กับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
สายการบินต้นทุนต่ำมีจุดกำเนิดเริ่มต้นมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา และที่มีชื่อเสียงมากจนเป็นต้นแบบในการใช้ Business Model ที่ดีในการดำเนินงานทั้งจากอดีตจนถึงปัจจุบันก็คือ Southwest Airlines ที่ก่อตั้งในปี 1971 (SWA) และดำเนินงานมายาวนานถึง 42 ปี ด้วยแนวความคิดที่แตกต่างจากสายการบินอื่น เพราะมองว่าคู่แข่งไม่ใช่สายการบิน แต่เป็นผู้ให้บริการรถโดยสารและการเดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัว SWA จึงตั้งเป้าหมายว่าจะใช้กลยุทธ์ที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายนี้หันมาใช้บริการของ SWA ด้วยความเต็มใจและมีความสุขไปกับการใช้บริการ โดยในช่วงเริ่มต้น SWA เปิดให้บริการเส้นทางบินระยะสั้นด้วยค่าโดยสารที่ใกล้เคียงกับค่าโดยสารรถประจำทางระหว่างเมืองใกล้ๆ และมีต้นทุนต่ำกว่าการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว
นี่ก็เป็นเพราะในธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำนั้น ราคามีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการของผู้โดยสารค่อนข้างมาก
นอกจากนั้น SWA ยังใช้กลยุทธ์ในการดำเนินงานที่ต่างไปจากสายการบินอื่น เช่นเลือกใช้เครื่องบินโบอิ้ง 737 เพียงรุ่นเดียวในการบิน จึงง่ายและประหยัดต่อการดูแลรักษารวมถึงการฝึกหัดนักบิน มีการให้บริการแบบ Point to Point, City to City ในลักษณะบินไป-กลับในเส้นทางสั้นๆ โดยไม่มีการบินข้ามทวีปหรือไม่ต้องไปต่อเครื่องบินอื่น พร้อมทั้งเลือกใช้เมืองที่มีสนามบินระดับรองๆ มากกว่าเมืองที่มีสนามบินใหญ่ เพราะค่าธรรมเนียมในการใช้สนามบินถูกกว่า ทั้งยังลดเวลาในการรอเครื่องบินขึ้นลงอีกด้วย นอกจากนี้ ยังไม่มีบริการอาหารในเครื่องบินยกเว้นเครื่องดื่ม ไม่มีการขนย้ายสัมภาระไปให้สายการ บินอื่น ไม่มีการกำหนดที่นั่งให้ผู้โดยสารล่วงหน้า แต่ให้ผู้ข้าแถวรอขึ้นเครื่องก่อนเลือกที่นั่งได้ก่อน ซึ่งทำให้การขึ้นเครื่องเสร็จอย่างรวดเร็วกว่าสายการบินอื่นๆ
จะเห็นได้ว่าหัวใจในการดำเนินงานของสายการบินต้นทุนต่ำคือการควบคุมต้นทุนให้ต่ำที่สุด (Cost Control) ซึ่งวัดด้วยการทำให้ต้นทุนในการให้บริการต่อผู้โดยสาร 1 คนต่ำที่สุด (Lowest Service Cost per Passenger) แต่จะต้องไม่กระทบต่อความพึงพอใจของผู้โดยสาร จึงต้องมุ่งเน้นเรื่องการใช้ประสิทธิภาพของคนและเครื่องบินให้สูงที่สุด นั่นคือการลดเวลาที่เครื่องบินจอดอยู่บนพื้นดินให้เหลือน้อยที่สุดนั่นเอง
ประเทศไทยมีสายการบินต้นทุนต่ำสัญชาติไทยรายใหญ่ที่ให้บริการในประเทศ 3 ราย คือ ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ และ โอเรียนท์ไทย หรือ วันทูโก เมื่อแยกดูเฉพาะเที่ยวบินที่มีการบินภายในประเทศจะพบว่าไทยแอร์เอเชียมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุดคือประมาณ 45% รองลงมาเป็นนกแอร์ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 37%
ธุรกิจสายการบินต้นทุนต่ำในประเทศไทยในปัจจุบันมีการแข่งขันที่สูงมาก อันเป็นผลมาจากการขยายตัวของธุรกิจแข่งกันเอง รวมถึงการเพิ่มความถี่ในรอบการบินและการเปิดเส้นทางบินใหม่ในลักษณะ City to City มากขึ้น ทั้งยังมีการแข่งขันจากสายการบินตะวันออกกลาง เช่น Emirates, QATAR และ ETIHAD ที่มีเป้าหมายเปิดเส้นทางบินใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางที่บินมายังภูมิภาคเอเชีย เนื่องจากเป็นตลาดที่มีแนวโน้มในการเติบโตได้อีกมาก ดังจะเห็นได้จากตารางข้างล่างที่ Boeing ซึ่งเป็น 1 ใน 2 ผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่ที่สุดของโลกได้ประเมินการเติบโตของผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินทั่วโลก แล้วพบว่า จีน เอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีการเติบโตที่สูงโดดเด่นเมื่อเทียบกับการเติบโตของทั้งโลกและในภูมิภาคอื่นๆ

นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาสัดส่วนผู้โดยสารที่ใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำเทียบกับจำนวนผู้โดยสารทั้งหมดในประเทศไทย ยังพบว่าจำนวนผู้โดยสารทั้งที่เดินทางภายในประเทศและระหว่างประเทศมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2547 จนถึงปัจจุบัน

เมื่อแยกดูรายละเอียดของนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางมาในประเทศไทยเป็นรายสัญชาติ ก็พบว่าสัดส่วนจากเอเชียตะวันออก กลุ่มอาเซียน เอเชียใต้ และตะวันออกกลาง เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตรงข้ามกับพวกที่มาจากยุโรปและสหรัฐอเมริกาอันมีสัดส่วนที่ค่อยๆ ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง
International Tourist breakdown by nationality (%)

Source : การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย , AOT
โอกาสที่ดีของธุรกิจนี้ในอนาคตคือปี 2558 จะเป็นปีที่เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (Asean Economic Community : AEC ) ซึ่งจะทำให้มีการเพิ่มกิจกรรมการเดินทางเพื่อธุรกิจ (Business trips) มากขึ้น ทั้งกลุ่ม Regional Companies และ Local Companies ที่เริ่มขยายการลงทุนไปยังประเทศใน Asean มากขึ้น มีการขยายสาขา มีการทำ Joint Venture มีการควบรวมกิจการ (M&A) รวมไปถึงเกิดตลาด MICE (Meeting, Incentives, Conventions, Exhibition) ที่ล้วนแต่สนับสนุนการเดินทางภายในกลุ่มภูมิภาคเอเชียให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในการเปิดตลาดการค้าเสรีของอาเซีย จะมีการส่งเสริมสนับสนุน และอำนวยความสะดวกในการท่องเที่ยวภายในกลุ่ม เช่น ให้มี One VISA-ASEAN / Single VISA ของนักท่องเที่ยวภายในกลุ่ม ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านและทั้งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขยายตัวขึ้นอีกมาก ทั้งยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวให้แก่เมืองหลักรวมทั้งเมืองใหญ่อื่นๆ ในไทยที่เป็นศูนย์กลางทางการบินอีกด้วย โดยไทยสามารถวาง Position เป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้านได้
การมีสายการบินต้นทุนต่ำจะช่วยกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวเดินทางโดยเครื่องบินมากขึ้น ทำให้เกิดการขยายตัวของนักท่องเที่ยวกลุ่มต่างๆ มากขึ้น โดยเฉพาะตลาดนักท่องเที่ยวระดับกลางและระดับล่างที่มีงบการเดินทางจำกัด รวมทั้งสามารถขยายเส้นทางท่องเที่ยวได้ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งไทยแอร์เอเชียที่เป็นผู้ให้บริการสายการบินต้นทุนต่ำรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยได้มีแผนในการขยายฝูงบินจากปัจจุบัน 24 ลำ เป็น 48 ลำ ภายในปี 2559 เพื่อรองรับผู้โดยสารที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากอุปสงค์ภายในประเทศและอุปสงค์จากภายนอกที่จะเกิดขึ้นหลังจากเปิด AEC
การย้ายสายการบินต้นทุนต่ำให้กลับไปให้บริการที่สนามบินดอนเมืองตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นกลยุทธ์ที่เอื้อประโยชน์ต่อสายการบินต้นทุนต่ำ เพราะจะทำให้ธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่อง จากทำให้หลุดพ้นปัญหาความแออัดที่สุวรรณภูมิ ทั้งยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานในส่วนของน้ำมันลง เพราะลดเวลารอลงจอดของเครื่องบินได้มาก นอกจากนี้ การเปิด AEC ยังจะทำให้ไทยเข้าถึงตลาดที่มีขนาดใหญ่ขึ้นในประเทศในแถบเอเชียและประเทศเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนติดกันได้ และยังสามารถต่อยอดไปยังธุรกิจอื่นๆ ที่เป็นคลัสเตอร์ของธุรกิจที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในประเทศให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้อีกด้วย