โค้ด: เลือกทั้งหมด
ในฐานะนักลงทุนเน้นคุณค่า การมองภาพใหญ่ด้วย “แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ” ก็เป็นอีกวิธีการหนึ่งในการคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ต ด้วยวิธีการที่เรียกว่า Top Down ซึ่งโดยปกติแล้วการมองภาพใหญ่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมองไปข้างหน้าให้ไกลหรือเรียกว่ามองข้าม shot ให้ได้มากที่สุด สาเหตุคือ การขับเคลื่อนภาพใหญ่นั้น ไม่ใช่เป็นอะไรที่จะเกิดขึ้นมาได้ในระยะสั้น ๆ แม้กระทั่งระยะหนึ่งปี ผมอยากให้เปรียบเหมือนว่าภาพใหญ่เป็นรถไฟคันโตที่ต้องอาศัยแรงขับที่ต้องชนะแรงเฉื่อยในช่วงแรก จนกระทั่งสามารถเดินทางไปได้ด้วยความเร็วที่สูงขึ้น
การมองภาพลักษณะนี้ จึงแตกต่างกันจากการเลือกหุ้นแบบ Bottom up หรือการคัดสรรหุ้นเป็นตัว ๆ เป็นอย่างมาก เนื่องจากว่า การเลือกหุ้นแบบ Bottom up อาจจะมีระยะที่เราสนใจเพียงแค่ไม่กี่ไตรมาสหรือปีสองปีข้างหน้าเท่านั้น Mindset ที่ใช้ จึงเป็นคนละมุม แต่ด้วยวิธีการเลือกหุ้นแบบ VI เหมือนกัน
แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยมากจะถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนใหญ่ ๆ คือ การบริโภคในประเทศ การลงทุน และการส่งออก ซึ่งผมอยากย้อนให้เห็นภาพประวัติศาสตร์เครื่องจักรทางเศรษฐกิจในประเทศไทยว่าทำงานกันอย่างไรบ้าง ซึ่งอันที่จริงทุกเครื่องจักรทำงานพร้อมกัน เพียงแต่มี “ดาวเด่น” แตกต่างกันในแต่ละยุคแต่ละสมัย
ในอดีตช่วงที่เศรษฐกิจไทยบูมก่อนยุคฟองสบู่แตก เป็นช่วงที่การลงทุนเฟื่องฟูสุดขีด ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยภาคเอกชนมีการขยายการลงทุนอย่างมากทั้งในและต่างประเทศ สินค้าทุนมีราคาถีบตัว ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน วัตถุดิบ รวมถึงเงินทุน ทำให้อัตราดอกเบี้ยขึ้นมาสูงเป็นประวัติการณ์ หุ้นในยุคนั้นที่มีสินค้าทุนเช่นที่ดิน หรือมีโครงการลงทุนจำนวนมาก ราคาวิ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า และภาพจบของหนังม้วนนี้คืออดีตที่เราใช้เป็นบทเรียน ว่าการลงทุนที่มีคุณภาพสำคัญยิ่งไปกว่าปริมาณ
ในยุคถัดมาหรือยุคเงินบาทลอยตัว เศรษฐกิจไทยได้แรงหนุนที่ดีจากเงินบาทที่มีมูลค่าลดลง ทำให้สินค้าเรามีความคุ้มค่าสูง การส่งออกจึงเป็น “พระเอก” ของยุคที่ประเทศเราต้องการแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง ทุกบริษัทตั้งแต่เล็กจนใหญ่ ต้องตั้งแผนกส่งออกกันอย่างรวดเร็ว บริษัทใหญ่หน่อยก็รับนักเรียนนอก บริษัทที่เล็ก ๆ ลงมาก็หาคนที่พอใช้ภาษาอังกฤษได้ เรียนรู้กลไก วิธีการส่งออก หาลูกค้า หุ้นส่งออกเป็นหุ้นพระเอกที่แม้ว่าดัชนีตลาดจะลดลงแค่ไหน หุ้นส่งออกก็สร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้นในยุคนั้น และทำให้การส่งออกเติบโตจนเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่ภาครัฐต้องดูแล โดยเฉพาะค่าเงินบาท มาตั้งแต่บัดนั้น
หลังจากนั้น เมื่อมีรายได้ไหลเข้าประเทศ ส่งผลให้รายได้ของประชาชนเริ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ตามลำดับ สินค้าที่เข้ามาตั้งโรงงานในประเทศไทย ทำให้คนไทยมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่หลากหลายขึ้นกว่าในอดีตที่เราจำเป็นต้องนำเข้าสินค้าบางอย่างแต่เพียงอย่างเดียว และด้วยกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่ค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัวมาเป็นระยะเวลาเป็นสิบปี ทำให้ยุคทองของแรงงานและชนชั้นกลางจึงเกิดขึ้น หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคfในประเทศเช่นหุ้นค้าปลีก หุ้นโรงพยาบาล เริ่มค่อย ๆ สร้างชื่ออย่างเงียบ ๆ จนมาเป็นพระเอกที่ดังสุดขีดในยุคนี้
อนาคตข้างหน้าผมยังคิดว่าการบริโภคในประเทศยังคงเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง เพราะเรายังเห็นช่องว่างของรายได้ประชาชาติต่อหัวเมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอยู่ แต่พระเอกอาจจะต้องไปเล่นบทพระรองได้เป็นระยะ ๆ(แต่คงไม่ถึงกับไปเล่นบทผู้ร้าย) เนื่องจากว่าในระยะที่ผ่านมา ภาคการลงทุนในหลาย ๆ อุตสาหกรรม เติบโตช้ากว่าการบริโภคมาโดยตลอด ซึ่งสาเหตุมาจากความทรงจำที่ไม่ดีนักในยุคต้มยำกุ้ง แต่อย่างไรก็ดี เราไม่สามารถต้านทานกระแสหลักหลาย ๆ อย่างได้ เช่นการตื่นตัวของการลงทุนในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) และกำลังการผลิตทุกประเทศในแถบนี้ก็เริ่มจะตึงตัว
ถนนทุกสายยังคงมุ่งสู่เอเซีย แต่ในฐานะนักลงทุน ในภาพใหญ่ เราก็จำเป็นต้องเลือกถนนที่ถูกสายครับ