โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 6 กรกฎาคม 2556
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
คุณค่า(ทางจิตใจ) VS ราคา
ในแวดวงของนักลงทุนแบบแบบ Value Invesment นั้น คำสองคำที่เราพูดถึงอยู่เสมอก็คือ Value กับ Price หรือ คุณค่า กับ ราคา “คุณค่า” นั้นก็คือสิ่งที่เราจะได้จากการถือทรัพย์สินนั้น พูดง่าย ๆ เราจะได้อะไรจากทรัพย์สินนั้น ซึ่งในเรื่องของหลักทรัพย์ที่เป็นหุ้นก็คือ ปันผลที่เราจะได้ตลอดอายุของการลงทุนหรือตลอดไป ส่วน “ราคา” ก็คือสิ่งที่เราจะต้องจ่ายในการซื้อทรัพย์สินดังกล่าว หน้าที่หลักของเราก็คือ ประเมินดูว่าคุณค่าหรือมูลค่าของหุ้นตัวนั้นควรจะเป็นเท่าไรโดยหาจาก “มูลค่าปัจจุบัน” ของปันผลที่จะได้รับในอนาคตทั้งหมด แล้วก็นำมาเปรียบเทียบกับราคา หากมูลค่าสูงกว่าราคาเราก็ซื้อ แต่ถ้ามูลค่าต่ำกว่าราคา เราก็ขาย เพราะเราเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ราคาจะวิ่งเข้าไปหามูลค่าที่แท้จริงเสมอ ในเรื่องของการลงทุนในหุ้นนั้น มูลค่าหรือคุณค่าของหุ้นมีเพียงหรือควรจะมีเพียงอย่างเดียวนั่นก็คือปันผลที่จะได้รับเป็นเงินสด คุณค่าอย่างอื่นที่ไม่ใช่ตัวเงินและมักจะไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นตัวเงิน เช่น ชื่อเสียงหรือความรู้สึกทางจิตใจนั้น เราจะไม่นำมาคิด
แต่ในโลกที่กว้างออกไป “คุณค่า” นั้น ไม่ได้มีเฉพาะเรื่องของเงิน คุณค่าทางด้าน “จิตใจ” ก็มีอยู่มากพอที่จะทำให้คนยอมจ่าย “ราคา” เพื่อที่จะได้มันมา หรือถ้าจะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือ คนแต่ละคนจะประเมินดู “คุณค่าทางด้านจิตใจ” ที่เขาจะได้รับทั้งหมด แล้วนำมาเปรียบเทียบกับ “ราคาหรือเม็ดเงิน” ที่เขาจะต้องจ่าย ถ้าคุณค่านั้นสูงกว่า เขาก็จะ “ซื้อ” แต่ถ้าไม่ เขาก็อาจจะขายถ้าสามารถขายได้ ประเด็นที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คุณค่าทางจิตใจนั้นแตกต่างจากคุณค่าที่เป็นเม็ดเงินก็คือ คุณค่าทางจิตใจนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของแต่ละคน ของสิ่งเดียวกันสำหรับคนหนึ่งอาจจะมีคุณค่ามาก แต่สำหรับอีกคนหนึ่งมันอาจจะไม่มีค่าอะไรเลย ลองมาดูกันว่าใน “ตลาด” ที่ขาย “คุณค่าทางจิตใจ” ของประเทศไทยเรานั้นมีอะไรบ้างที่น่าสนใจ
ในเมืองไทยที่สังคมยังค่อนข้างติดยึดกับระบบ “ศักดินา” ที่แบ่งคนเป็น “ชนชั้น” ตามฐานันดรต่าง ๆ นั้น ทำให้ยศถาบรรดาศักดิ์และตำแหน่งเป็นสิ่งที่คนต่างก็แสวงหา คนมักจะยกย่องเชิดชูคนที่มีฐานะและตำแหน่งที่เป็นทางการสูงโดยที่ไม่ใคร่สนใจว่าคน ๆ นั้นจะมีความรู้ความสามารถหรือมีคุณธรรมจริง ๆ หรือไม่ ดังนั้น คนที่มีปัญญา มีความรู้ความสามารถ หรือเพียงแต่มีเงินจึงต้องการ “หัวโขน” มาประดับด้วย หัวโขนหรือตำแหน่งที่เป็น “ทางการ” จึงเป็นสิ่งที่มีค่า เป็น Value สำหรับคนหลาย ๆ คน และดังนั้น พวกเขาจึงยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อเป็น “ราคา” ที่หลากหลายขึ้นอยู่กับ “หัวโขน” แต่ละแบบ และนี่ก็เป็นที่มาของเรื่องการ “ขายปริญญา”ของ “มหาวิทยาลัย” ที่ไม่ได้มีมาตรฐาน หรือไม่ก็เป็นปริญญากิตติมศักดิ์ที่มอบให้แต่ผู้รับต้อง “จ่ายเงิน” นอกจากนั้น ในอดีตเราก็เคยมีกรณี “เครื่องราช” ที่คนต้องจ่ายเงินให้กับคนที่จัดการทำเรื่องหลอกลวงว่ามีการบริจาคเงินให้กับวัดเพื่อเสนอขอเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้กับคนที่ต้องการได้เครื่องประดับนี้โดยที่ตนไม่สมควรได้
อาหารเสริมเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก ผู้ผลิตมีตั้งแต่บริษัทระดับโลกไปยันกิจการครอบครัวขนาดเล็กที่ไม่มีการค้นคว้าวิจัยอะไรเลย “คุณค่า” ของอาหารเสริมจำนวนมากที่จะมีต่อร่างกายนั้นยังมีข้อสงสัยอยู่มาก หมอหรือนักวิชาการจำนวนมากที่ผมรู้จักหรือได้อ่านบทความนั้นบอกว่าอาหารเสริมส่วนใหญ่นั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยนอกจากความรู้สึกทางใจที่ว่ามันช่วยให้สุขภาพดีขึ้น อย่างไรก็ตามคนจำนวนมากรวมทั้งผมต่างก็ดูว่ามีอาหารเสริมหลายอย่างที่ผมซื้อเพราะมัน “คุ้มค่า” คนจำนวนมากคิดว่าคุณค่าของมันเหนือกว่าราคาที่จ่าย คุณค่าที่ว่านี้ก็คือการมีสุขภาพที่ดีขึ้นสำหรับเขานั้น คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายมาก สำหรับผมเอง ผมก็ไม่ได้เชื่อมากนักว่าอาหารเสริมที่ผมกินนั้นจะช่วยให้สุขภาพผมดีมากมายอะไร อย่างไรก็ตาม เงินที่ผมจ่ายนั้น ก็น้อยนิดเมื่อเทียบกับทรัพย์สินที่ผมมี ดังนั้น เทียบแล้ว Value เหนือ Price และนี่เป็นเหตุผลที่อาหารเสริมนั้นเป็นธุรกิจที่เติบโตมาก
การพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตเป็นธุรกิจที่ใหญ่โตไม่น้อยไปกว่าอาหารเสริม ไล่ตั้งแต่การดูหมอและการผูกดวงชะตาต่าง ๆ การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิค ไปจนถึงการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจของนักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลาย นี่ก็เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่นักวิชาการมีการศึกษาและพบว่าการคาดการณ์ทั้งหลายดังกล่าวนั้นไม่มีความถูกต้องแม่นยำพอที่จะมีประโยชน์ในการตัดสินใจอะไรเลย แต่คนจำนวนมากก็ยังยอมจ่ายเงินไปเพื่อซื้อการคาดการณ์เหล่านั้น พวกเขาเห็น “คุณค่า” ของมัน คนบางคนเชื่อว่าการคาดการณ์นั้นมีความถูกต้องและจะทำให้สามารถนำไป “ทำเงิน” และคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย คนบางคนนั้นได้ “คุณค่าทางจิตใจ” นั่นก็คือ มันทำให้เขารู้สึกสบายใจที่มีคนมาช่วย “รับภาระทางใจ” ต่อการตัดสินใจของเขา ในกรณีที่เกิดความผิดพลาดเขาก็สามารถที่จะอ้างได้ว่าเขาตัดสินใจโดยได้ใช้ข้อมูลและความเห็นของคนที่เชี่ยวชาญในการพยากรณ์อนาคตอย่างรอบคอบแล้ว
Value หรือคุณค่าของ “ที่ปรึกษา” ทางธุรกิจนั้น บ่อยครั้งก็ไม่ได้มีคุณค่าที่ทำให้ธุรกิจดำเนินงานได้ดีขึ้นคุ้มค่ากับค่าที่ปรึกษาที่สูงลิ่ว เจ้าของหรือผู้บริหารสูงสุดของบริษัทหรือหน่วยงานเองนั้นส่วนใหญ่น่าจะรู้ดีกว่าที่ปรึกษาที่เป็นคนนอกและเพิ่งเข้ามาศึกษาการทำงานของบริษัทจากการสอบถามพนักงานภายในบริษัทเอง แต่ประเด็นอาจจะไม่ได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นอาจจะอยู่ที่ว่าคุณค่าของที่ปรึกษาในสายตาของคนจ้างซึ่งเป็นผู้บริหารอาจจะอยู่ที่ว่า ที่ปรึกษานั้นเป็นผู้ที่จะบอกให้แต่ละหน่วยงานในบริษัททำตามเนื่องจากพวกเขาเป็น “ผู้เชี่ยวชาญคนนอก” ที่ไม่มี “การเมืองในบริษัท” ที่ทำให้ทุกฝ่ายยอมรับได้ง่ายกว่า นอกจากนั้น หากเกิดมีอะไรผิดพลาด ผู้บริหารก็ยังมีข้ออ้างว่าที่ปรึกษาได้แนะนำไว้ไม่ใช่ความผิดของฝ่ายบริหารทั้งหมด
ตลาดพระเครื่องน่าจะเป็นตลาดที่ “คุณค่าทางด้านจิตใจ” มีบทบาทสำคัญในทรัพย์สินที่มีตัวตนและเปลี่ยนมือได้ “คุณค่า” ของพระเครื่องแต่ละรุ่นนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ถ้าเกิดอุบัติเหตุแล้วคนที่ห้อยพระเครื่องบางองค์รอดปลอดภัยอย่าง “มหัศจรรย์” คุณค่าในสายตาของคนเล่นพระเครื่องในพระรุ่นนั้นก็อาจจะสูงขึ้นมากและทำให้ “ราคา” ค่าเช่าพระองค์นั้นวิ่งสูงขึ้นด้วย แต่ถ้าถามว่าพระเครื่องรุ่นนั้นช่วยให้ “แคล้วคลาด” ได้จริงหรือเปล่า? คงไม่มีใครตอบได้จริง ๆ
Value ของบริษัทจัดการกองทุนรวมหรือผู้บริหารกองทุนรวมนั้น ในต่างประเทศเช่นในสหรัฐอเมริกามีการศึกษากันมากและพบว่า ผู้จัดการกองทุนรวมส่วนใหญ่มีคุณค่าในแง่ของการเลือกหุ้นที่ถูกต้องน้อยไม่คุ้มค่ากับค่าบริหารกองทุนที่คิดค่อนข้างสูงอาจจะ 3-4% ต่อปีของสินทรัพย์สุทธิ อย่างไรก็ตาม คนจำนวนมากก็ยังใช้บริการยอมจ่ายค่าบริหารกองทุนในอัตราสูงแทนที่จะซื้อกองทุนอิงดัชนีที่ไม่ต้องเลือกหุ้นและคิดค่าบริหารกองทุนต่ำกว่ามาก เหตุผลนั้นอาจจะเป็นเพราะคนยังเชื่อว่ามีกองทุนรวมที่มีฝีมือหรือคุณค่าสูงในการเลือกหุ้นเพราะพวกเขาเห็นว่ากองทุนนั้นมีผลงานที่ดีเด่นในช่วงเร็ว ๆ นี้ ความหวังที่จะได้กำไรดี ๆ และการ “ยกความรับผิดชอบ” ให้กับบริษัทจัดการการลงทุนที่ “มีผลงานโดดเด่น” ทำให้พวกเขายอมจ่าย “ราคา” ที่อาจจะสูงกว่าคุณค่าที่แท้จริงของ บลจ. นั้น
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น ประเด็นสำคัญที่สุดที่ผมต้องการจะบอกก็คือ ในฐานะของ VI เราจะต้องเป็น “ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับ Value” หรือคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ เมื่อเทียบกับ ราคา ที่เราจะจ่าย และเราต้องเข้าใจด้วยว่า Value นั้นมีหลายรูปแบบและในสายตาของแต่ละคนก็อาจจะไม่เท่ากันถ้ามันไม่ใช่ Value ที่เป็นเม็ดเงิน ความเข้าใจเหล่านี้จะทำให้เราใช้เงินได้คุ้มค่าขึ้น ทั้งทางด้านของการลงทุนและในด้านการใช้จ่ายอย่างอื่นของชีวิต