โค้ด: เลือกทั้งหมด
ผมขอเขียนเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยในตอนแรกและจะขอเขียนถึงความสัมพันธ์ของจีนกับญี่ปุ่น ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน แต่อยากกล่าวถึงเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้นขอกล่าวต่อจากตอนที่แล้วว่ามีความเสี่ยงที่จะชะลอตัวลงอย่างมากใน 3-6 เดือนข้างหน้าด้วยเหตุผลดังนี้
1. ธนาคารกลางสหรัฐจะลดทอนคิวอีซึ่งส่งผลกระทบทำให้ต่างชาติขายพันธบัตรและหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่ ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า ดอกเบี้ยระยะยาวปรับตัวสูงขึ้นและความมั่งคั่งของคนไทย (วัดจากมูลค่าของหุ้น) ลดลงอย่างมาก ส่งผลในเชิงลบต่อความมั่นใจในการลงทุนและลดกำลังซื้อลง
2. เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงแต่ผู้นำจีนไม่แสดงท่าทีเป็นห่วงมากนัก โดยบอกว่าต้องการ “คุณภาพ” มากกว่าปริมาณ กล่าวคือลดคอร์รัปชัน พัฒนาสิ่งแวดล้อม และกำจัดฟองสบู่อสังหาฯ ฯลฯ ทำให้เศรษฐกิจจีนที่เคยโตปีละ 10% จะลดลงเหลือปีละ 7% นอกจากนั้นก็ยังเป็นห่วงว่าธนาคารกลางจีนอาจกำกับสภาพคล่องอย่างเข้มงวด ทำให้ธุรกิจหลายประเภทที่เคยพึ่งพาระบบการธนาคารเงา (shadow banking) ประสบปัญหา ทั้งนี้ shadow banking ของจีนนั้นถูกเปรียบเทียบกับ subprime ของสหรัฐ
3. การที่ทหารอียิปต์ยึดอำนาจจากประธานาธิบดีเมอร์ซี เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคมนั้น แม้ว่าจะมีกลุ่มสนับสนุนเป็นจำนวนมาก แต่ก็มีความเสี่ยงว่ากลุ่มมุสลิมที่ถูกโค่นล้มจะไม่ประนีประนอมด้วย ทำให้ความแตกแยกในอียิปต์รุนแรงกว่าเดิม เป็นผลให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อประเทศไทยที่ต้องพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 10% ของจีดีพี
4. เศรษฐกิจยุโรปเองก็ยังอยู่ในสภาวะถดถอย ขณะที่ปัญหาของกรีกและโปรตุเกสเริ่มก่อตัวขึ้นจนกลายเป็นเรื่องที่ถูกนำมาพาดหัวข่าวอีกครั้ง แม้ว่าปัญหากรีกและโปรตุเกสไม่น่าจะทำให้เกิดความปั่นป่วนของเศรษฐกิจโลกเพราะปัจจุบันนักลงทุนเชื่อว่าธนาคารกลางและผู้นำยุโรปจะ “เอาอยู่” แต่ก็สะท้อนความฝืดเคืองของอุปสงค์โลกโดยรวม ทำให้รัฐบาลไทยเองก็ยอมรับว่าการส่งออกของไทยในปีนี้ไม่น่าจะโตได้ตามเป้าที่ 7% แต่อาจขยายตัวได้เพียง 3-5% ทำให้หลายหน่วยงานเริ่มปรับลดการคาดการณ์การขยายตัวของจีดีพีจากประมาณ 5% ลงเหลือ ประมาณ 4-4.5%
5. กระแสข่าวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้สรุปได้ว่าจะมีอุปสรรคในการขับเคลื่อนการลงทุน 3.5 แสนล้านเพื่อบริหารจัดการน้ำและการออกกฎหมายเพื่อกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนปรับโครงสร้างการขนส่งของประเทศไทย ในกรณีแรกศาลปกครองตัดสินว่ารัฐบาลมิได้ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 57 และ 67 ในการทำประชาพิจารณ์และการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม ทำให้พรรคประชาธิปัตย์เสนอต่อวุฒิสภานำเรื่องเสนอต่อคณะกรรมการปราบปรามคอร์รัปชันให้ถอดถอนคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ สำหรับพ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านนั้นประธานกรรมการปฏิรูปกฎหมายก็ได้ออกมาแถลงว่าเป็นพ.ร.บ.ที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 169 ทำให้มองได้ว่าเศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้รับแรงขับเคลื่อนจากการลงทุนระยะยาวจากภาครัฐดังที่เคยคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้นปี
เรื่องที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องที่จะต้องติดตามเพื่อประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องหรือจะชะลอตัวลง ทั้งนี้ผมมองไม่เห็นว่าจะมีปัจจัยอื่นใดที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้ บางคนบอกว่าหากเศรษฐกิจชะลอตัวลงก็น่าจะเป็นโอกาสให้ปรับลดดอกเบี้ยลงได้ ซึ่งผมมองว่ามีความเป็นไปได้ยากด้วยเหตุผล 4 ประการคือ
1. แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวลง แต่การว่างงานอยู่ในระดับต่ำเพียง 0.9% แสดงว่าเศรษฐกิจยังอยู่ไม่น่าเป็นห่วง เพราะเกือบทุกคนมีงานทำ
2. ในเดือนเมษายนและพฤษภาคมไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งมองได้ว่าเป็นการที่ประเทศไทยใช้จ่ายเกินรายได้และเมื่อใช้จ่ายเกินตัว (ดังนั้นจึงกำลังสร้างหนี้สินเพิ่มขึ้น) จึงไม่มีเหตุผลที่จะลดดอกเบี้ย
3. การที่ราคาน้ำมันโลกกำลังปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้เงินเฟ้อไทยสูงขึ้น การที่ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและต่างชาติขายหุ้นและพันธบัตรก็ได้ทำให้เงินบาทอ่อนค่า ซึ่งจะทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น
4. ดอกเบี้ยระยะยาวของไทยนั้นมีความสัมพันธ์กับดอกเบี้ยสหรัฐสูง ดังนั้น หากดอกเบี้ยสหรัฐปรับขึ้นจากการลดทอนคิวอี ก็จะทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวของไทยปรับสูงขึ้นด้วย ในกรณีดังกล่าวแม้ธนาคารแห่งประเทศไทยจะลดดอกเบี้ยระยะสั้น แต่หากดอกเบี้ยระยะยาวปรับสูงขึ้นก็อาจจะไม่ช่วยให้ดอกเบี้ยในระบบธนาคารพาณิชย์ลดลงแต่อย่างใด
สำหรับเรื่องจีน-ญี่ปุ่นนั้น หนังสือพิมพ์ Wall Street Journal วันที่ 4 กรกฎาคมสรุปว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสองเสื่อมลงไปอีกระดับหนึ่งเมื่อญี่ปุ่นแสดงความกังวลอย่างยิ่ง (grave concern) ที่จีนกำลังก่อสร้างแท่นขุดเจาะกลางทะเลในพื้นที่ซึ่งจีนและญี่ปุ่นต่างอ้างกรรมสิทธิ์ในทะเลจีนตอนใต้ ซึ่งโฆษกประจำตัวของนายกรัฐมนตรีอาเบะกล่าวว่าเป็นเรื่องที่ญี่ปุ่น “รับไม่ได้” (unacceptable) แต่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวตอบโต้ว่าจีนกำลังดำเนินการสำรวจแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในน่านน้ำที่อยู่ภายใต้การปกครองของจีน ซึ่งอยู่ทางเหนือของหมู่เกาะที่ญี่ปุ่นเรียกว่า Senkaku และจีนเรียกว่า Diaoyu ซึ่งผมเคยเขียนถึงมาแล้ว
อีกเรื่องหนึ่งที่กำลังส่งผลกระทบในเชิงลบต่อความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับจีนและกับเกาหลี คือการที่นายกรัฐมนตรีอาเบะซึ่งเป็นนักการเมืองรักชาติแบบขวาจัดได้โต้วาทีกับฝ่ายค้านในการหาเสียงเลือกตั้งวุฒิสภา (ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 21 กรกฎาคม) ตอนหนึ่งว่าเขาไม่มีจุดยืนในเรื่องว่าเขาเชื่อหรือไม่ว่าญี่ปุ่นได้รุกรานและยึดครองจีนและเกาหลีในศตวรรษที่แล้ว ทั้งนี้ เขาขยายความว่า “I am not saying that there was no colonial rule or aggression. But I am not in a position to define those terms” ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดดังกล่าวทำให้โฆษกของกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาตอบโต้ว่า การทำสงครามและการรุกรานของทหารญี่ปุ่นได้ทำให้เกิดความทรมานและความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงให้กับประเทศต่างๆ ในเอเชีย และมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากมายที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าญี่ปุ่นได้ทำทารุณกรรมอะไรเอาไว้บ้าง ดังนั้น หากผู้นำญี่ปุ่นยังไม่ยอมรับในข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ยากที่ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียจะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
ผมคิดว่าจีนเชื่อว่าตนพูดถูกที่ญี่ปุ่นมีประวัติศาสตร์ที่ยังค้างชำระกับประเทศเอเชียหลายประเทศ แต่คนไทยที่อ่านตรงนี้อาจไม่ค่อยเข้าใจถึงความรู้สึกโกรธแค้นการกระทำของญี่ปุ่นในอดีต เพราะสำหรับประเทศไทยนั้น ถ้าพูดถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สองคนไทยส่วนใหญ่จะนึกถึงละครความรักระหว่างสาวไทยกับทหารญี่ปุ่นมากกว่าและจะไม่ได้รับรู้ข้อมูลอื่นๆ มากนัก ทำให้ญี่ปุ่นมองว่าเมืองไทยน่าลงทุนที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียเพราะญี่ปุ่นจะไม่เคยถูกทวงถามเกี่ยวกับอดีตเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ในเอเชีย
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 8/7/56