ปัจจัยเสี่ยงและแนวโน้มเศรษฐกิจไทย/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ปัจจัยเสี่ยงและแนวโน้มเศรษฐกิจไทย/ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ก.ย. 16, 2013 9:52 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

การลดทอนคิวอีนั้นจากการสำรวจความเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg สรุปว่าเสียงส่วนใหญ่เชื่อว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินสหรัฐ จะลดทอนคิวอีโดยการพิมพ์เงินใหม่จะลดลงจาก 85,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนมาเป็น 75,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ทั้งนี้โดยจะลดการซื้อพันธบัตรรัฐบาลลงจาก 45,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือนมาเป็น 35,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน แต่การพิมพ์เงินใหม่มาซื้อพันธบัตรเอกชนที่มีหลักทรัพย์ค้ำปะรกันเป็นอสังหาริมทรัพย์ (MBS) นั้นจะคงเดิมที่ 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ทั้งนี้โดยทั่วไปนักลงทุนมองตลาดหุ้นในแง่บวกมากขึ้นเนื่องจาก

1. สำหรับหุ้นในประเทศตลาดหลัก (กลุ่มจี 3) นั้นมองว่า ไม่ว่าจะลดหรือไม่ลดคิวอี ตลาดหุ้นก็น่าจะได้ประโยชน์ คือ หากเฟดลดคิวอีแสดงว่าเศรษฐกิจฟื้น ทำให้คาดว่าผลประกอบการของบริษัทในตลาดหุ้นจะดีด้วย ดังนั้นราคาหุ้นจึงจะปรับตัวสูงขึ้น แต่หากเศรษฐกิจไม่ดีก็จะไม่ลดทอนคิวอีซึ่งจะทำให้มีสภาพคล่องสนับสนุนราคาหุ้นต่อไป

2. เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วกำลังดีวันดีคืน ซึ่งสนับสนุนการขยายตัวโดยรวมของเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ตัวเลขการผลิตและการค้าของจีนในเดือนสิงหาคมซึ่งปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากเดือนมิถุนายนและกรกฎาคม ทำให้เมอร์ริลลินช์ประเมินว่าเศรษฐกิจโลก ซึ่งขยายตัวต่ำกว่า 2% ในไตรมาส 1 นั้นได้ขยับตัวขึ้นมาขยายตัว 3% ในไตรมาส 2 และน่าจะขยายตัวได้ประมาณ 3.0-3.5% ในไตรมาส 3 

3. ในส่วนของประเทศตลาดเกิดใหม่นั้นประเทศที่นักลงทุนเพ่งเล็งว่ามีความเสี่ยงคือประเทศที่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะประเทศดังกล่าวใช้จ่ายเกินตัว (การส่งออกสินค้าและบริการต่ำกว่าการนำเข้าสินค้าและบริการ) ทำให้ต้องพึ่งพาการกู้เงินเพิ่มขึ้นจากภายนอกซึ่งอาจประสบปัญหาเงินทุนขาดแคลนในยุคที่ธนาคารกลางสหรัฐกำลังจะลดทอนคิวอี ทั้งนี้ประเทศที่อยู่ในข่ายที่นักลงทุนเพ่งเล็ง เพราะต้องกู้เงินจากต่างประเทศมากคือ อินเดีย ตุรกี อินโดนีเซีย แอฟริกาใต้และบราซิล นอกจากนั้นก็ยังมีประเทศที่อยู่ในลักษณะคล้ายคลึงกันแต่พึ่งพาเงินต่างชาติไม่มากนักคือ เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ โปแลนด์ และเกาหลีใต้ แต่ราคาหุ้นและค่าเงินก็ได้ปรับลดลงไปมากแล้ว ทำให้ล่าสุดค่าเงินเริ่มมีเสถียรภาพและราคาหุ้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น

4. ความกังวลว่าสหรัฐจะโจมตีซีเรียได้ผ่อนคลายลงไปในระดับหนึ่ง หลังจากข้อเสนอของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียให้ซีเรียมอบอาวุธเคมีทั้งหมดให้สหประชาชาตินำไปทำลาย ซึ่งทำให้สหรัฐชะลอแผนการโจมตีซีเรียไประยะหนึ่ง แต่ทั้งนี้ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ยังคงอยู่เพราะการจะหวังว่ารัฐบาลซีเรียจะยอมมอบอาวุธเคมีทั้งหมดให้สหประชาชาติทำลายในภาวะที่ยังมีสงครามการเมืองเป็นสิ่งที่ทำได้ยากในทางปฏิบัติ อย่างไรก็ดีนักลงทุนมองว่าเป็นการลดความตึงเครียดทำให้ความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันลดลง จึงเป็นปัจจัยบวกสำหรับเศรษฐกิจและตลาดหุ้นโดยรวม

สำหรับไทยนั้นอาจมองได้ว่ามีปัจจัยบวก 2 ปัจจัยและปัจจัยลบ 1 ปัจจัย กล่าวคือส่วนที่บวกได้แก่การที่ประเทศไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่มากนัก (และบางคนก็เชื่อว่าขาดดุลเพราะมีการนำเข้าทองเป็นจำนวนมากในช่วงแรกของปีนี้และอาจไม่เกิดขึ้นในอนาคต) และประเทศไทยก็มีหนี้สินต่างประเทศน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับทุนสำรอง ทำให้น่าจะรับมือกับการไหลออกของเงินทุนได้ รวมทั้งการที่ประเทศไทยมีอัตราเงินเฟ้อ (ตามที่กระทรวงพาณิชย์รายงาน) อยู่ที่ระดับต่ำทำให้ทางการไม่จำเป็นต้องมีมาตรการทางการเงินที่เข้มงวด สำหรับปัจจัยบวกที่สองคือ การเมืองที่แม้จะมีประเด็นขึ้นหน้าหนังสือพิมพ์อยู่เสมอ แต่ก็ประเมินได้ว่าจะไม่กระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล ทำให้ต้องยุบสภาและแม้ว่าจะมีความเสี่ยงจากการตัดสินขององค์กรอิสระอยู่บ้างแต่ก็ไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเป็นภัยอันตรายต่อสถานะภาพของรัฐบาลในอนาคต

สำหรับปัจจัยลบนั้นต้องยอมรับว่าการดำเนินนโยบายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทยนั้นถูกมองว่ายังมีศักยภาพน้อยมาก กล่าวคือนักลงทุนยังต้องรอการผ่านกฎหมายงบประมาณ การริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อบริหารจัดการน้ำและยังต้องรอการดำเนินการประชาพิจารณ์ตามคำสั่งศาล กฎหมาย 2 ล้านล้านบาทเพื่อปรับโครงสร้างระบบคมนาคม ซึ่งล่าช้าไปแล้วประมาณ 1 เดือนและมีความเป็นไปได้มากกว่าเมื่อกฎหมายผ่านสภาแล้วก็จะถูกนำไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความว่าขัดต่อวินัยทางการคลังที่กำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญหรือไม่ 

ในขณะเดียวกันนโยบายการเงินก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้ กล่าวคือธนาคารแห่งประเทศไทยคงจะดำเนินการแทรกแซงเป็นระยะๆ เพื่อรักษาเสถียรภาพมิให้ค่าเงินบาทอ่อนค่ารวดเร็วเกินไปและแม้ว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะไม่ปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้น แต่ก็คงจะไม่ลดดอกเบี้ยเช่นกัน ในขณะที่การคาดการณ์ว่าจะมีการลดทอนคิวอีทำให้ดอกเบี้ยระยะยาวของไทยวัดจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีได้ปรับเพิ่มขึ้นจากจุดต่ำสุดของปีนี้ที่ 3.2 มาเป็น 4.3% กล่าวคือแม้ว่านโยบายการเงินจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่ในความเป็นจริงนั้นการคาดการณ์การลดทอนคิวอีได้ทำให้ภาคการเงินของไทยตึงตัวเพิ่มขึ้นไปแล้ว ในขณะที่ภาคครัวเรือนมีหนี้สินที่ระดับสูงทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยกล่าวตักเตือนให้ระมัดระวัง ซึ่งตอกย้ำว่าภาคการบริโภคภายในประเทศคงจะไม่ขยายตัวมากนักไปอีกนานหลายเดือนดังที่กล่าวในครั้งที่แล้วว่า “หมดยุค” ของการกู้เงินมาเพื่อการบริโภคแล้ว

แปลว่าเศรษฐกิจไทยนั้นจะขึ้นหรือลงหรือจะไปทางซ้ายหรือทางขวาก็คงจะต้องดูทิศทางลมจากเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการส่งออกหรือการท่องเที่ยวที่จะต้องเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปีนี้ โดยคาดหวังว่าในปีหน้าจะมีความชัดเจนว่าทางการไทยจะสามารถขับเคลื่อนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างมั่นคงและต่อเนื่องครับ
ที่มา นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 16/9/56
[/size]



ตอบกลับโพส