โค้ด: เลือกทั้งหมด
โลกในมุมมองของ Value Investor 27 กันยายน 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ภาษาเปลี่ยนโลก
ผมอยู่มาจนถึงปัจจุบันก็ 60 ปีเข้าไปแล้ว สิ่งที่รู้สึกว่าเป็น “จุดด้อย” ที่สำคัญของตนเองและไม่สามารถปรับขึ้นได้จนเท่ากับหรือใกล้เคียงกับ “เจ้าของ” ก็คือ “ภาษาอังกฤษ” ปัญหาก็คือ ในช่วงวัยเด็กและวัยหนุ่มนั้น ผมไม่มีโอกาสที่จะได้เรียนภาษาอังกฤษที่ดีพอและผมไม่รู้ว่าภาษาอังกฤษนั้นเป็นวิชาที่สำคัญมากและสำคัญยิ่งกว่าวิชาคณิตศาสตร์หรือฟิสิกส์ที่ผมคิดว่าเป็นวิชาของคนเก่งที่ต้องอาศัยตรรกะและความคิดระดับสุดยอด ภาษาอังกฤษเริ่มมีความสำคัญก็ในตอนที่ผมเริ่มเรียนในระดับมหาวิทยาลัยที่ต้องอ่านตำราทางวิชาการจากต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของมันก็เป็นแต่ในเรื่องของการที่จะทำความเข้าใจทฤษฎีและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง ในกรณีของผมก็คือเรื่องทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรม เศรษฐศาสตร์ และบริหารธุรกิจ ความสามารถของผมในด้านเหล่านี้ก็เป็นแต่ในเรื่องของการอ่านและการเขียนเท่านั้นซึ่งก็ยังช้าและด้อยกว่าเจ้าของภาษาอยู่ไม่น้อย ส่วนภาษาอังกฤษในสาขาความรู้อื่น ๆ และเรื่องทั่วไปนั้น ความสามารถของผมต้องบอกว่าต่ำกว่าเจ้าของภาษามาก ระดับความเร็วในการอ่านนั้นผมคิดว่าอาจจะทำได้เพียงครึ่งหนึ่งของเจ้าของภาษาที่มีศักยภาพในระดับเดียวกัน ส่วนการฟังและโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดนั้น ความสามารถของผมยิ่งห่างจากเจ้าของภาษาสุดกู่อันเป็นผลจากการขาดโอกาสที่จะเรียนรู้ในช่วงต้นของชีวิตซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดโดยเฉพาะในด้านของการพูด
ความสำคัญของภาษาอังกฤษในความเห็นของผมนั้นอยู่ที่ว่ามันเป็นภาษา “สากล” และมันเป็นภาษาของประเทศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกติดต่อกันมาน่าจะเกือบ 200 ปี ตั้งแต่อังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 19 และสหรัฐอเมริกาในศตวรรษที่ 20 และจนถึงปัจจุบัน นี่ทำให้หนังสือที่รวบรวมความรู้ทั้งหลายในโลกต่างก็ถูกเขียนขึ้นเป็นภาษาอังกฤษ การติดต่อทางการทูต การค้า และสังคมทั่วโลกซึ่งรวมถึงระบบอินเตอร์เน็ตต่างก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ เช่นเดียวกับกิจกรรมบันเทิงชั้นนำระดับโลกเช่นภาพยนตร์และละครเวทีต่างก็ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก และด้วยเหตุที่โลกของเรานั้นอยู่ในกระแสของโลกาภิวัฒน์ที่ขอบเขตของดินแดนกำลังลดความสำคัญลงเรื่อย ๆ และประชาชนสามารถที่จะเดินทางหรือติดต่อกับคนอื่นได้ทั่วโลกด้วยต้นทุนที่ต่ำลงมาก ภาษา “กลาง” ที่ทุกคนต้องใช้จึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และสำหรับคนที่ ก้าวหน้าที่สุดในแต่ละสังคม ภาษาอังกฤษจึงกลายเป็นภาษาที่ผมคิดว่า “จำเป็น” อย่างยิ่งยวด และถ้าจะให้ผมทำนายในขั้นนี้ก็คือ ถ้าหากคุณจะเป็นคนชั้นนำอย่างที่เรียกว่า “อิลิท” ในยุคต่อไป คุณจำเป็นที่จะต้องรู้และสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีมาก ไม่ใช่แค่ 40-50% ของเจ้าของภาษาอย่างที่ผมเป็น
ทุกวันนี้ ผมเองรู้สึกว่าผมอ่านหนังสือดี ๆ ซึ่งส่วนมากก็คือหนังสือภาษาอังกฤษได้ “ไม่ทัน” กับหนังสือที่ออกใหม่และวางบนแผงไม่ต้องพูดถึงหนังสือคลาสสิกเก่า ๆ ที่ยังมีอีกมากมายในหัวข้อความรู้ที่ผมสนใจ เหตุผลสำคัญก็คือ ผมอ่านได้ไม่เร็วพอ หนังสือหลายเล่มกองอยู่บนโต๊ะทำงานและบางเล่มอาจจะถูกอ่านเพียงสั้น ๆ แล้วก็ทิ้งไว้เนื่องจากคุณภาพที่ไม่ดีพอหรือไม่ตรงกับความสนใจของผมจริง ๆ โชคดีที่ในระยะหลัง ๆ นี้ เริ่มมีหนังสือแปลเป็นภาษาไทยหรือมีคนไทยที่เริ่มเขียนหนังสือที่มีคุณภาพสูงมากขึ้นในเรื่องที่ผมสนใจ ซึ่งในกรณีแบบนี้ผมก็จะซื้อมาอ่านอย่างไม่ลังเล เพราะผมจะอ่านได้เร็วขึ้นมาก
หนังสือที่ช่วย “เปลี่ยนโลก” ของผม นั่นคือ ทำให้ผมรู้จักโลกดีขึ้นมาก เข้าใจชีวิต สังคม และรัฐชาติต่าง ๆ ในโลกนั้นมักจะอิงอยู่กับเรื่องของทฤษฎีวิวัฒนาการของ ชาร์ล ดาร์วิน ที่พูดถึงพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมถึงมนุษย์ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของ “มนุษยชาติ” และประวัติศาสตร์ของอารยะธรรมและประเทศต่าง ๆ นั้นทำให้เราเห็นวิวัฒนาการของคนและสังคมและรู้ว่าอนาคตน่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ประวัติศาสตร์ของสงครามและการทำลายล้างอย่างเช่นเรื่องของสงครามโลกและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวนั้นก็สอนให้เราตระหนักในเรื่องของความเสี่ยงเช่นเดียวกับการเรียนรู้ว่าทำไมฝ่ายหนึ่งจึงชนะและฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้ ว่าที่จริงนี่ก็อาจจะเป็นเรื่องของธรรมชาติที่สิ่งมีชีวิตต่างก็ต้องต่อสู้แข่งขันเพื่อเอาตัวรอด ทั้งหมดนั้นก็จะช่วยให้เรารู้ว่าอนาคตของประเทศไทยหรือสังคมไทยที่เราอาศัยอยู่นั้นจะเป็นอย่างไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ตัดสินใจในประเด็นต่าง ๆ ได้ถูกต้อง ซึ่งสำหรับผมแล้ว การลงทุนก็เป็นหนึ่งในนั้น และหนังสือดี ๆ ที่เขียนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ส่วนมากมักจะเป็นภาษาอังกฤษ ส่วนหนังสือภาษาไทยนั้น หลายเล่มก็เขียนได้ดี อย่างไรก็ตาม หนังสือบางเล่มที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์หรือการเมืองนั้น บางทีก็มี “ความลำเอียง” ที่ทำให้เราไม่ได้ความจริงที่จะชี้นำอนาคตได้
ความสามารถทางภาษาอังกฤษที่ดีนั้น ผมคิดว่าน่าจะทำให้ชีวิตของเราได้สัมผัสกับความรื่นรมย์ “ระดับโลก” เช่น การดูละครเพลงบอร์ดเวย์ ซึ่งต้องอาศัยภาษาอังกฤษที่ดีมาก หรือการชมภาพยนต์โดยไม่ต้องอ่านซับไตเติลมากนัก นอกจากนั้น สำหรับคนที่ชอบอ่านวรรณกรรม ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษก็น่าจะช่วยเปิดโลกให้กว้างขึ้นมากสำหรับความบันเทิงที่สุนทรีกว่าความบันเทิงที่จำกัดเฉพาะที่มีในภาษาไทยเท่านั้น จริงอยู่ ในปัจจุบันนั้นหนังสือแปลมีแพร่หลายขึ้นมาก แต่ผมคิดว่าการอ่านจากต้นฉบับน่าจะมีอรรถรสกว่าไม่น้อย
การเขียน ฟัง และพูด ภาษาอังกฤษได้ดีนั้น ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้การอ่านโดยเฉพาะคนที่ยังต้องทำงาน ในตำแหน่งที่สูงของทุกองค์กรในปัจจุบันและเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตนั้น ภาษาอังกฤษที่เป็นเรื่องของการฟัง พูด และเขียนได้อย่างดีจะมีความสำคัญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนคนที่ภาษาอังกฤษแย่นั้นแทบจะไม่มีโอกาสที่จะก้าวหน้าอย่างโดดเด่นได้ เหตุผลก็เพราะเมื่อองค์กรใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเกี่ยวข้องกับคนต่างประเทศที่ต่างก็ใช้ภาษาอังกฤษในการติดต่อสื่อสาร โดยส่วนตัวผมเองจากประสบการณ์การทำงานกับองค์กรใหญ่ ๆ มาหลายแห่งก็พบว่าภาษาอังกฤษที่ไม่ดีของตนเองโดยเฉพาะการฟัง พูด และเขียน นั้น น่าจะเป็นตัวที่ถ่วงความก้าวหน้าในหน้าที่การงานอยู่ไม่น้อยทั้ง ๆ ที่เวลานั้นประเทศไทยก็ยังไม่ได้เปิดมากเหมือนวันนี้
ผมคงตระหนักในความสำคัญของภาษาอังกฤษมานานและนั่นเป็นเหตุผลที่ผมส่งลูกเรียนในโรงเรียนอินเตอร์มาตั้งแต่ชั้นอนุบาลซึ่งจะทำให้เขาได้ภาษาอังกฤษที่เท่ากับหรือใกล้เคียงกับเจ้าของภาษา มันเป็น “การลงทุน” ที่สำคัญและใช้เงินมากทีเดียวเมื่อเทียบกับรายได้ในช่วงนั้นของผมเมื่อเกือบ 20 ปีมาแล้ว ผลของการที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้เกือบจะเหมือนกับเจ้าของภาษาทำให้ลูกผมสามารถเดินทางและติดต่อกับชาวต่างชาติได้อย่างสบายใจและมีความสุขจากสิ่งบันเทิงระดับโลกได้โดยไม่มีอุปสรรคทางด้านภาษา เขาไปเรียนในสถาบันชั้นนำระดับโลกได้ในขณะที่ผมต้องเรียนในสถาบันการศึกษาธรรมดามาก ๆ ในสหรัฐส่วนหนึ่งเพราะภาษาอังกฤษไม่ดี เขามีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติหลายชาติขณะศึกษาในกรุงลอนดอนที่หลังจากจบการศึกษาแล้วก็ยังติดต่อกันตลอดเวลาและเมื่อมีโอกาสก็มาเยี่ยมเยียนกัน เมื่อคนหนึ่งแต่งงานเพื่อน ๆ ก็ยังไปร่วมพิธีเหมือนกับเพื่อนที่อยู่ประเทศเดียวกัน
ผมเองคิดว่าภาษาอังกฤษนั้น “เปลี่ยนโลก” ของลูกผมจากสิ่งที่ผมทำ ภาษาอังกฤษ “เปลี่ยนโลก” ของผมแต่มันก็ยังไปได้ไม่เต็มที่เนื่องจากผมไม่มีโอกาสในยามเด็ก ผม “ดิ้นรน” ไปเรียนต่างประเทศหลังจากทำงานได้ระยะหนึ่งแล้วโดยมีเหตุผลลึก ๆ จริง ๆ อยู่ที่การได้เรียนรู้และอยู่ในสังคมของคนพูดภาษาอังกฤษ สี่ปีของการศึกษานั้น สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่ผมได้รับก็คือ ความสามารถในการอ่านและศึกษาเรื่องการเงินและการลงทุนแบบ VI ในภายหลัง เช่นเดียวกัน ผมยังมีความสามารถในการอ่านและเสพสิ่งอื่น ๆ ที่มีความสำคัญและเป็นความบันเทิงของชีวิตแม้ว่าจะไม่เต็มร้อย สำหรับคนที่ยังไม่เก่งภาษาอังกฤษ การ “ลงทุน” เรียนรู้มันอย่างทุ่มเทนั้นจะเป็นสิ่งที่คุ้มค่า ยิ่งเรียนอายุน้อยก็ยิ่งได้ผลดีเท่านั้น