Inter Brand/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

Inter Brand/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ โดย Thai VI Article » อาทิตย์ พ.ย. 03, 2013 2:39 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

โลกในมุมมองของ Value Investor     2 พฤศจิกายน 56
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Inter Brand

	การเติบโตขึ้นของการบริโภคของคนไทยนั้นเห็นได้ชัดเจนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา  เหตุผลก็เพราะว่ารายได้ของคนชั้นกลางและชั้นกลาง-ล่าง ที่เป็น “มนุษย์เงินเดือน”  นั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  อานิสงค์จากการที่แรงงานในประเทศไทยขาดแคลนอย่างหนัก  สิ่งนี้ส่งผลให้บริษัทที่ขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภคเติบโตเฟื่องฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว  ไม่ใช่เป็นเพราะรายได้ที่เพิ่มขึ้นเท่านั้น  ความสามารถในการกู้เงินของคนกลุ่มนี้ก็เพิ่มขึ้นมหาศาล  อานิสงค์จากการที่พวกเขามีรายได้ที่แน่นอนและอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่ต่ำมากติดต่อกันมานานหลายปี  บริษัทที่ขายสินค้าและบริการให้แก่ผู้บริโภคที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่างก็มียอดขายและกำไรที่เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงเนื่องจากบริษัทเหล่านี้ต่างก็มักจะเป็นบริษัทที่ใหญ่และมีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง  สิ่งนี้ส่งผลให้นักลงทุนหันมาสนใจลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้นและทำให้ราคาหุ้นและมูลค่าตลาดของหุ้นสูงขึ้นมาก   หุ้นกลุ่มผู้บริโภคที่นักลงทุนไม่ใคร่สนใจในอดีตนั้นกลายเป็นหุ้นยอดนิยม  จากหุ้นที่มีราคาถูกค่า PE ต่ำ ก็กลายเป็นหุ้นที่มีราคาแพงและค่า PE สูงลิ่ว      เทรนด์หรือแนวโน้มแบบนี้จะไปต่อไหม?  ความเสี่ยงคืออะไร?  
	ย้อนหลังไป  อาจจะไม่ถึงหนึ่งหรือสองปี  ผมเอง  “รู้สึกดี” และสบายใจกับกิจการที่ขายสินค้าให้กับผู้บริโภคที่มีความโดดเด่นและเป็นผู้นำ  สิ่งที่ผมได้  “สัมผัส”  อยู่บ่อย ๆ-  อาจจะเนื่องจากคนใกล้ชิดชอบ-ก็คือเรื่องของเสื้อผ้าและเครื่องแต่งตัวที่เป็นแฟชั่นและราคาย่อมเยาหรือไม่แพง  ผมเองคิดว่านี่เป็นธุรกิจที่ดีโดยเฉพาะถ้ากิจการนั้นมีความได้เปรียบคู่แข่งไม่ว่าจะเป็นทางด้านของต้นทุนหรือด้านของยี่ห้อหรือด้านของการเป็นช่องทางการขายที่เป็นจุดหมายของคนซื้อ  ในตอนนั้นผมจึงสรุปว่ากิจการขายเสื้อผ้าที่เป็นเครือข่ายขนาดใหญ่คงได้เปรียบและน่าจะเติบโตไปได้ดีนั่นคือกลุ่มหนึ่ง  กลุ่มที่สองก็คือกิจการที่ขายเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายที่มียี่ห้อและราคาไม่แพงน่าจะไปได้ดี  และสาม  ศูนย์การค้าที่เป็น  “ศูนย์กลาง” ในการจำหน่ายเสื้อผ้าที่เป็นแฟชั่นราคาไม่แพงคงทำได้ดี  ว่าที่จริงผมเคยรับรู้มาว่าอัตราค่าเช่าสำหรับร้านค้าในศูนย์เช่นที่อยู่แถวประตูน้ำนั้น   มีราคาแพงมากจนไม่น่าเชื่อ
	และแล้วในวันหนึ่งที่ศูนย์การค้าพารากอนซึ่งผมมักจะไปจ่ายตลาดเป็นประจำ   ผมก็พบกับความประหลาดใจมากที่เห็นว่ามีร้านขายเสื้อผ้าขนาดใหญ่มากเปิดขึ้นในจุดที่คนเดินผ่านมากที่สุด  ร้านนั้นคือ H&M ซึ่งเป็นร้านที่ผมเห็นเป็นประจำเวลาเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศที่ค่อนข้างเจริญอย่างในอังกฤษหรือฮ่องกง  ว่าที่จริงมันเป็นร้านขายเสื้อผ้าที่คนใกล้ชิดผมต้องแวะเข้าไปซื้อเสื้อผ้าเวลาไปเที่ยวต่างประเทศ  เนื่องจากมันเป็นร้านที่ขายเสื้อผ้าที่มีแบบสวยงามทันสมัยออกแบบโดยนักออกแบบมีชื่อระดับโลกแต่ขายในราคาปกติ  ทุกครั้งที่เข้าร้านก็จะได้เสื้อผ้ามาหลายตัวเพราะสินค้ามีมากมายและหลากหลาย   ความประหลาดใจของผมนั้นไม่ใช่เพราะร้าน H&M มาเปิดที่เมืองไทย  แต่เป็นเพราะผมได้เห็นคนจำนวนมากเข้าคิวรอเข้าไปจับจ่ายในร้านที่เต็มไปด้วยผู้คนที่แทบจะแย่งกันซื้อราวกับว่าของนั้นแจกฟรี
	เดี๋ยวนี้ร้าน H&M ที่พารากอนไม่ได้แน่นเหมือนตอนเปิดร้านใหม่ ๆ  แต่ก็น่าจะยังขายดีมาก  และความสำเร็จนี้น่าจะเป็นเหตุผลที่ H&M เริ่มไปเปิดร้านที่สองหรือร้านที่เท่าไรผมไม่ทราบแต่ก็เห็นร้าน H&M เปิดใหม่ที่ศูนย์การค้าเทอร์มินัล 21 ที่เป็นแหล่งขายสินค้าแนวแฟชั่นที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ   เหตุผลที่  H&M ประสบความสำเร็จมากนั้น  ช่วงแรกผมคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องเฉพาะตัว  เป็นเรื่องของ  H&M  เอง  แต่แล้วผมก็เริ่มได้รับรู้ว่า   ห้าง Uniqlo เครือข่ายขายเสื้อผ้าชั้นนำจากญี่ปุ่น  ซึ่งก็มีร้านอยู่ที่พารากอนและอาจจะที่ห้างชั้นนำอื่น ๆ  ด้วยนั้น  ก็ขายได้ดีมาก  ภาพของ Uniqlo เองนั้น  อาจจะไม่ได้เน้นทางด้านแฟชั่นมากเท่า H&M  แต่เป็นเสื้อผ้าที่มีคุณภาพดีมาก  และที่สำคัญก็คือ  มีราคาถูกมากไม่ได้ต่างจากแบรนด์ที่เป็นของไทยเลย  ว่าที่จริงอาจจะถูกกว่าด้วยซ้ำถ้าเป็นยี่ห้อระดับสูงของไทย   ดังนั้น  ข้อสรุปของผมจึงกลายเป็นว่า  ตลาดของเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายของไทยนั้น  ได้เข้าสู่การแข่งขันในระดับสากลเช่นเดียวกับตลาดในอังกฤษหรือฮ่องกงแล้ว  และสภาพการแข่งขันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
	แบรนด์ที่เป็นสากลหรือ International Brand ที่เข้ามาทำตลาดหรือขายสินค้าหรือบริการในประเทศไทยนั้นมีมานานและมีมากมาย  ในอดีตนั้น  ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะเข้ามาจับตลาด  “ระดับบน”  ก่อน  แต่เมื่อคนไทยที่เป็น Mass  หรือคนกลุ่มใหญ่  รวยขึ้นหรือมีเงินมากขึ้นถึงจุดหนึ่ง  เขาก็เริ่มเข้ามาบริโภคมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ  คู่แข่งที่เป็นกิจการของคนไทยหรือแบรนด์ไทยก็ค่อย ๆ  ปรับตัวจนบางทีเราไม่เห็นว่ามันได้กระทบกับใครบ้าง  ตัวอย่างเช่น  อาหารจานด่วนเช่นพวกไก่ทอดหรือแฮมเบอร์เกอร์เป็นต้น  แต่ในกรณีของเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายนี้   ผมคิดว่ามันมาเร็วมากและคงกระทบกิจการต่าง ๆ  ที่เป็นของคนไทยไม่น้อย  ผมเชื่อว่าร้านเครือข่ายขายเสื้อผ้าของไทยตอนนี้คงเริ่มรับรู้ถึงการสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในกรุงเทพที่เป็นจุดที่อินเตอร์แบรนด์เริ่มบุก  ต่อไปผมเชื่อว่าในหัวเมืองใหญ่ก็จะตามมา   เสื้อผ้าที่มียี่ห้อเป็นแบรนด์ไทยนั้นผมคิดว่าจะยิ่งลำบากขึ้นไปอีกเนื่องจากภาพพจน์ที่ด้อยกว่าแถมราคาอาจจะแพงกว่า  สุดท้าย  แม้แต่ศูนย์การค้าปลีก-ส่งเสื้อผ้าแนวแฟชั่นนั้น   ผมก็คิดว่าความนิยมจะลดลงไปเรื่อย ๆ   เหตุผลก็เพราะคนที่นิยมเรื่องของแฟชั่นที่มีราคาถูกนั้น  เริ่มจะหันมาซื้อสินค้าอินเตอร์แบรนด์ที่มีราคาไม่ต่างกันมากขึ้นเรื่อย ๆ  นี่สังเกตจากคนใกล้ชิดผมเองที่ไปซื้อสินค้าน้อยลงมาก
	ถ้าเราถือหุ้นของกิจการที่ขายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคเป็นหลักและไม่ใช่เป็นยี่ห้อของต่างประเทศ  บริษัทเราเป็นผู้นำหรืออยู่ในกลุ่มผู้นำที่ประสบความสำเร็จ  มียอดขายและรายได้เติบโตดี  อานิสงค์จากการเปลี่ยนแปลงของการเป็นสังคมผู้บริโภค  และหุ้นมีราคาปรับตัวขึ้นสูงและหุ้นไม่ถูกหรือกลายเป็นหุ้นที่แพงมีค่า PE ที่สูงไปแล้ว  เราก็ต้องคิดไปถึงอนาคตด้วยว่าหุ้นตัวนั้นมีโอกาสที่จะต้องประสบกับการแข่งขันจาก  Inter Brand มากน้อยแค่ไหนและที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  บริษัทของเรานั้นจะสู้ได้หรือไม่และเพราะเหตุใด?  โดยทั่วไปเราต้องวิเคราะห์ปัจจัยของการแข่งขันในอุตสาหกรรมหรือในธุรกิจว่าอะไรเป็นตัวสำคัญและเรามีแค่ไหนเทียบกับอินเตอร์แบรนด์  หัวใจอยู่ที่สองเรื่องนั่นก็คือ  Economy of Scale  หรือต้นทุนว่าใครได้เปรียบ  กับเรื่องของยี่ห้อของสินค้าว่าใครโดดเด่นกว่าและสินค้านั้นคนคำนึงถึงยี่ห้อมากน้อยแค่ไหนด้วย
	ผลิตภัณฑ์หรือบริการต่าง ๆ  ที่เป็นเรื่องของการบริโภคและอินเตอร์แบรนด์เข้ามาแข่งขันหรือเกี่ยวข้องด้วยหรืออาจจะเข้าในอนาคตนั้นมีมากมาย  ลองนึกคร่าว ๆ  ก็รวมถึง  เฟอร์นิเจอร์  อาหาร  มือถือ  เครื่องสำอาง  ค้าปลีก  ผู้ให้บริการการสื่อสาร  แบ็งค์และบริการทางการเงิน  และอื่น ๆ  อีกมาก   ผลิตภัณฑ์ไหนที่มีกำไรต่อยอดขายดีหรือมีมาร์จินสูงและมีตลาดขนาดใหญ่ก็มักจะมีโอกาสที่อินเตอร์แบรนด์จะเข้ามามากกว่า  ความเข้มแข็งของบริษัทในประเทศก็มีส่วนสำคัญที่จะเป็นตัวตัดสินว่าอินเตอร์แบรนด์อยากเข้ามาหรือไม่  เพราะเขาเองก็รู้ว่า  การเข้ามาแข่งกับบริษัทที่ใหญ่  โดดเด่น  และอยู่ในบ้านตนเองนั้น  ไม่ใช่เรื่องง่าย  กฎของสงครามที่ว่าผู้รุกต้องมีทรัพยากรเป็น 2 เท่าจึงจะเอาชนะฝ่ายรับได้นั้นยังเป็นจริง  ทั้งหมดนี้เราต้องรู้ไว้  เพราะในฐานะที่เป็นเจ้าของบริษัท  เราไม่อยากที่จะต้องสู้กับอินเตอร์แบรนด์ถ้าไม่จำเป็น  เพราะไม่ว่าจะชนะหรือแพ้  เราก็อาจจะเสียหายอยู่ดี  และในกรณีที่แพ้  ก็อาจจะกลายเป็นหายนะ   ดังนั้น  การวิเคราะห์เรื่องของอินเตอร์แบรนด์จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับหุ้นที่ขายสินค้าให้ผู้บริโภค
[/size]



ตอบกลับโพส