BOTTOM LINE/ธันวา เลาหศิริวงศ์

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

BOTTOM LINE/ธันวา เลาหศิริวงศ์

โพสต์ โดย Thai VI Article » พฤหัสฯ. มี.ค. 06, 2014 11:05 am

โค้ด: เลือกทั้งหมด

	บริษัทจดทะเบียนที่มีรอบปีบัญชีสิ้นเดือนธันวาคมต้องรายงานผลการดำเนินงานและงบการเงินประจำปี 2556 ภายในวันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2557 ที่ผ่านมา บริษัทส่วนหนึ่งทยอยประกาศผลการดำเนินงานก่อนหน้า แต่บริษัทส่วนใหญ่ยังรายงานผลการดำเนินงานเพียงช่วงก่อนวันครบกำหนดสุดท้ายด้วยเหตุปัจจัยที่แตกต่างกัน ช่วงระยะเวลาในการรายงานผลการดำเนินงานก่อนกำหนดเวลาย่อมแสดงถึงความสามารถในการบริหารจัดการ ระบบการทำงานที่มีประสิทธิภาพของบริษัทนั้นๆ ด้วย
	ทุกๆ ไตรมาส บริษัทจดทะเบียนกว่า 500 แห่งจะต้องรายงานงบการเงินและผลการดำเนินงานด้วยแบบฟอร์มสรุปผลการดำเนินงาน (F 45) เนื่องจากข้อจำกัดด้านเวลา นักลงทุนส่วนหนึ่งจึงเลือกติดตามผลการดำเนินงาน “บรรทัดสุดท้าย” ของบริษัทผ่านแบบฟอร์มดังกล่าวซึ่งเป็นการสรุปกำไร (ขาดทุน) สุทธิ หรือ “BOTTOM LINE” ทั้งในรูปของจำนวนเงินและกำไรสุทธิต่อหุ้นนั่นเอง
	แม้ BOTTOM LINE ในฟอร์ม F 45 จะถูกแสดงให้ดูง่ายโดยเปรียบเทียบผลการดำเนินงานกับช่วงเวลาก่อนหน้าอย่างชัดเจน  ในกรณีที่ผลการดำเนินงานเปลี่ยนแปลงมากผิดปกติ นักลงทุนไม่ควรปักใจเชื่อทันที เพราะหากนำไปเป็นเกณฑ์ตัดสินใจซื้อขายหุ้นอาจเกิดความเสียหายในการลงทุนได้ เนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้
	ข้อแรก มีรายการพิเศษเกิดขึ้นในรอบบัญชีนี้หรือรอบบัญชีก่อนหน้า ส่งผลให้การดำเนินงานดีขึ้นหรือแย่ลงอย่างผิดปกติ เช่น กำไร (ขาดทุน) จากการธุรกรรมซื้อขายทรัพย์สินที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ความเสียหายหรือค่าใช้จ่ายพิเศษจากภัยธรรมชาติ เงินได้ชดเชยจากการประกันภัย เป็นต้น หากผลดำเนินงานเปลี่ยนแปลงมากผิดปกติ นักลงทุนควรตั้งคำถามถึงความสมเหตุสมผล ความเป็นไปได้พร้อมหาสาเหตุของความผิดปกติดังกล่าว และต้องตัดรายการพิเศษดังกล่าวเพื่อสะท้อนถึงผลประกอบการที่แท้จริง
	อนึ่ง สำหรับรอบปีบัญชี 2555 และ 2556 บริษัทจดทะเบียนมีภาระภาษีเงินได้ต่ำลงจากอัตราภาษีนิติบุคคลที่ลดลงจากร้อยละ 30 เป็น 23 และ 20 ตามลำดับ นักลงทุนต้องพึงระลึกไว้ว่า จะไม่มี “ตัวช่วย BOTTOM LINE”  ดังกล่าวนับจากนี้เป็นต้นไป 
	ข้อสอง มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายทางบัญชี แบ่งได้เป็นสองกรณีได้แก่ กรณีแรก มาตรฐานการบัญชีใหม่ บริษัทจดทะเบียนต้องปฏิบัติตามมาตรฐานการบัญชีที่เริ่มมีผลบังคับใช้ในปีปัจจุบันหรืออาจพิจารณาใช้มาตรฐานบัญชีที่จะมีผลบังคับใช้ในอนาคต กรณีที่สอง ผู้บริหารอาจพิจารณาเลือกใช้นโยบายทางบัญชีที่อนุรักษ์นิยมหรือเพียงอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานมาใช้ เช่น นโยบายค่าเสื่อมราคา การด้อยค่าของสินทรัพย์ การตั้งสำรองลูกหนี้ เป็นต้น ในการเปรียบเทียบแต่ละครั้ง นักลงทุนต้องเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบที่เกิดขึ้น การเปรียบเทียบกับบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันที่มีนโยบายทางบัญชีแตกต่างกัน นักลงทุนต้องลดความคลาดเคลื่อนของการเปรียบเทียบด้วยการปรับเปลี่ยนข้อมูลเพื่อให้อยู่บนพื้นฐานที่ใกล้เคียงกันมากที่สุด
	ข้อสาม กิจการที่มีผลการดำเนินงานเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล (Seasonal) นักลงทุนที่ไม่ได้ศึกษาและเข้าใจกิจการดีพออาจประเมินผลกำไรทั้งปีด้วยการคาดการณ์เป็นสี่เท่าของผลกำไรไตรมาสแรก หรือเป็นสองเท่าของผลกำไรครึ่งปีแรก นักลงทุนต้องเข้าใจถึงธรรมชาติของธุรกิจที่สนใจลงทุนและมีประวัติการดำเนินงาน 4-8 ไตรมาสย้อนหลัง หากไม่มีรายการดังที่กล่าวในสองข้อแรก นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลในฟอร์ม F 45  ได้ทันทีหากต้องการเปรียบเทียบผลการดำเนินงานในช่วงเวลาเดียวกัน
ที่กล่าวมานี้เป็นข้อผิดพลาดที่พบบ่อย นักลงทุนต้องใช้ความระมัดระวังเมื่ออ่านรายงานสรุปผลการดำเนินงานที่บริษัทจดทะเบียนรายงานมายังตลาดหลักทรัพย์ คำแนะนำสำหรับผู้ที่เริ่มสนใจลงทุนและไม่มีพื้นฐานทางบัญชีมากนักคือ  เลือกศึกษาและลงทุนเฉพาะกิจการที่เปิดเผยข้อมูล “อย่างละเอียด” ผ่านคำอธิบายและวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการหรือ คำชี้แจงผลการดำเนินงานที่เปลี่ยนแปลงเกินกว่า 20% หากเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญ  นักลงทุนที่ต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุน จำเป็นต้องขยันศึกษา หมั่นเรียนรู้สิ่งใหม่แม้ไม่มีพื้นฐานความรู้ดังกล่าวมาก่อนดังคำพูดที่ว่า “Difficult doesn’t mean impossible. It simply means that you have to work harder”
ยอดขายหรือรายได้ (TOP LINE) คือเครื่องบ่งชี้ถึง “ศักยภาพ” ของกิจการ ส่วนกำไรสุทธิ (BOTTOM LINE) เปรียบเสมือนเครื่องบ่งชี้ถึง “คุณภาพ” ของกิจการ กล่าวคือกิจการที่มีทั้งศักยภาพและคุณภาพจะต้องเติบโตทั้งยอดขายและกำไรต่อเนื่องนั่นเอง
ในรอบหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเผชิญความท้าทายต่อเนื่องทั้งมหาอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ในปี 2554 และเหตุการณ์ความไม่สงบทางด้านการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่า ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หากนักลงทุนสามารถวิเคราะห์และเลือกลงทุนในกิจการที่แข็งแกร่งเติบโตต่อเนื่องทั้ง TOP LINE  และ BOTTOM LINE จากธุรกิจหลักโดยไม่รวมรายการพิเศษครั้งคราวในช่วงที่ผ่านมา ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความสามารถในการคัดเลือกหุ้นได้ดีระดับหนึ่ง ซึ่งกิจการนั้นควรจะมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่องต่อไปท่ามกลางความหวังว่าประเทศไทยคงจะไม่เผชิญความท้าทายและเหตุการณ์ที่เลวร้ายไปมากกว่าที่ผ่านมา อย่างน้อยคำว่า “เจรจา” ที่เพิ่งเริ่มได้ยินก็คือ “BOTTOM LINE” ที่ดีที่สุดในภาวะปัจจุบัน
[/size]



ตอบกลับโพส