หลุมพราง VI (1/2)/ธันวา เลาหศิริวงศ์

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

หลุมพราง VI (1/2)/ธันวา เลาหศิริวงศ์

โพสต์ โดย Thai VI Article » พฤหัสฯ. เม.ย. 03, 2014 11:17 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

	การเปิดเผยรายชื่อผู้ที่อยู่ในข่ายเป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคนกลางก่อนหน้านี้ ทำให้เกิดคำถามถึงวัตถุประสงค์และอาจคิดต่อไปถึง “หลุมพราง” ทางการเมือง เพราะหลังจากที่มีการประกาศรายชื่อแล้ว มีผู้ทรงคุณวุฒิส่วนหนึ่งต่างทยอยออกมาแสดงจุดยืนและความสนใจ พร้อมปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ต่อตำแหน่งทางการเมืองดังกล่าวทันที 
	แม้ว่าการยึดมั่นในแนวคิดและหลักการการลงทุน VI จะมีความสำคัญอย่างมาก แต่การปฏิบัติให้เกิดผลจริงก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน บนเส้นทางลงทุนของนักลงทุน VI แต่ละคนจึงอาจพบ “หลุมพราง” หรือ “กับดัก” ในการลงทุนดังต่อไปนี้
	ข้อแรก ซื้อแล้วไม่ขาย แม้วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในแนวทาง Value Investing เคยกล่าวไว้ว่า แก่นการลงทุนคือ “การลงทุนในกิจการที่ยอดเยี่ยมในราคายุติธรรม แล้วถือไว้ให้นานที่สุดหรือหากเป็นไปได้ก็ถือไว้ตลอดชีวิต” ก็ตาม นักลงทุนต้องไม่ลืมว่า หากหุ้นที่ถือนั้น “ไม่ใช่” Super Stock ที่มีคุณสมบัติได้เปรียบในการแข่งขันอย่างยั่งยืนแล้ว ผลประกอบการในอนาคตอาจไม่โดดเด่นทำให้มูลค่ากิจการไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างที่เคยเป็นมา นักลงทุนจึงควรพิจารณาเลือกลงทุนในกิจการที่โดดเด่นกว่าทั้ง “คุณภาพ” และ “ศักยภาพ” เพื่อผลตอบแทนที่เติบโตอย่างมั่นคงกว่าในระยะยาว กรณีที่ราคาหุ้นสูงขึ้นเกินปัจจัยพื้นฐานมาก และพบกิจการที่ยอดเยี่ยมกว่าแต่เงินลงทุนมีจำกัด นักลงทุนจึงควรพิจารณาขายเพื่อซื้อหุ้นที่ดีกว่าเช่นกัน
	การยึดติดคำพูดที่ว่า “ไม่ขายไม่ขาดทุน” คือกับดักการลงทุนชนิดหนึ่ง หากเห็นว่าเป็นการวิเคราะห์ผิด หรือพื้นฐานของกิจการเปลี่ยนแปลงจนทำให้ผลประกอบการไม่เป็นดังคาดอีกต่อไป นักลงทุนต้องตัดใจขายหุ้นเพื่อแสวงหาโอกาสผลตอบแทนที่ดีกว่า แทนการเลือกขายหุ้นดีมีกำไรแต่เก็บไว้เฉพาะหุ้นเน่าที่ยังขาดทุนอยู่ ดังคำเปรียบเปรยที่ว่า “เลือกเด็ดดอกไม้แต่เก็บวัชพืชไว้”
	ข้อสอง ลงทุนหุ้น 100% ตลอดเวลาโดยไม่ถือเงินสด นักลงทุน VI ไทยส่วนใหญ่มักเลือกถือเงินสดในมือน้อยเพราะมั่นใจว่าหุ้นที่ตนถืออยู่เป็นกิจการที่ดีและราคาหุ้นยังมีโอกาสที่จะปรับเพิ่มสูงขึ้น และยังจ่ายเงินปันผลในอัตราที่ดีกว่าผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝาก อย่างไรก็ตาม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังเลือกถือเงินสดมากถึงสี่หมื่นล้านเหรียญสหรัฐด้วยความเชื่อที่ว่ามีโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นเสมอ และเขามักใช้เงินสดดังกล่าวเข้าลงทุนยามตลาดหุ้นหรือกิจการที่ยอดเยี่ยมประสบภาวะวิกฤติชั่วคราวนั่นเอง
การจัดสรรสัดส่วนระหว่างการถือเงินสดและการถือหุ้นนั้นไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว การเลือกถือหุ้น 100% ตลอดเวลานั้นหากมีโอกาสลงทุนที่ยอดเยี่ยม นักลงทุนจะมีทางเลือก 3 ทางได้แก่  หนึ่ง อยู่เฉยๆ ปล่อยให้โอกาสนั้นผ่านไป สอง กล้าตัดสินใจขายหุ้นที่ถือเพื่อสับเปลี่ยนหุ้น และสาม ยอมรับความเสี่ยงเพิ่มจากการใช้วงเงินกู้มาร์จิ้น นักลงทุนแต่ละคนต้องพิจารณาเลือกกลยุทธ์ให้เหมาะกับความสามารถในการเลือกหุ้นและความสามารถในการรับความเสี่ยงของตน
	ข้อสาม ซื้อหุ้นเพื่อให้มีรายชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ หลังปิดสมุดทะเบียนบริษัทจดทะเบียนต้องเปิดเผยชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีจำนวนหุ้นมากกว่า 0.5% ของหุ้นทั้งหมด การมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่แม้ส่งผลทางจิตวิทยานำความภูมิใจให้กับนักลงทุนนั้น แต่จะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อผลประกอบการของบริษัทเพราะปัจจัยพื้นฐานของกิจการยังขึ้นอยู่กับสินค้าและบริการ โครงสร้างและรูปแบบธุรกิจ ตลอดจนความสามารถของผู้บริหาร ซึ่งราคาหุ้นจะตอบสนองกับผลประกอบการที่เกิดขึ้นเท่านั้น
หากไม่ใช่นักลงทุนที่พอร์ตใหญ่ การซื้อหุ้นเพื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่คงทำได้เพียงหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก หากกิจการนั้นเมีศักยภาพในการแข่งขันและยังเติบโตต่อเนื่องยาวนาน นี่คือโอกาสที่จะเพิ่มความมั่งคั่งได้อย่างดี แต่หากเป็นกิจการคุณภาพปานกลางไม่โดดเด่น การเข้าลงทุนในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของพอร์ตนั้นจะมีความเสี่ยงด้านผลประกอบการ สภาพคล่องของหุ้นและราคาหุ้นเมื่อต้องการขาย นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับความเสี่ยงและผลตอบแทนมากกว่าการมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่
	ข้อสี่ ซื้อขายหุ้นตามผู้บริหาร ข้อมูลรายวันของแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2) ส่งผลต่อจิตวิทยาการตัดสินใจซื้อขายหุ้น แม้การซื้อหุ้นของผู้บริหารมีแนวโน้มเชิงบวก นักลงทุนต้องพิจารณาขนาดธุรกรรมว่ามีนัยต่อความมั่งคั่งโดยรวมของผู้บริหารมากน้อยเพียงใด ผู้บริหารมีสัดส่วนลงทุนหุ้นต้นทุนต่ำก่อนหน้ามากน้อยเพียงใด หากติดตามแบบ 59-2 จะพบว่า ยังมีรายงานที่ผู้บริหารท่านหนึ่งซื้อขณะที่อีกท่านหนึ่งขายหุ้นในระดับราคาใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังพบว่าการซื้อขายหุ้นของผู้บริหารนั้นมักไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการขึ้นลงราคาหุ้นนัก ส่วนการขายหุ้นของผู้บริหารนั้นอาจมาจากหลายสาเหตุ จึงไม่ควรสรุปว่า กิจการนั้นจะเริ่มไม่ดีเสมอไป นักลงทุนไม่ควรนำปัจจัยนี้มาใช้ในการตัดสินใจลงทุน
	การตัดสินใจซื้อขายหุ้นตามนักลงทุนรายใหญ่ที่มีชื่อติดผู้ถือหุ้นรายใหญ่นั้น อาจเป็นหลุมพรางการลงทุนอย่างหนึ่งเช่นกัน เพราะกว่าที่รายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะได้รับการเปิดเผย นักลงทุนรายใหญ่นั้นอาจเข้าลงทุนก่อนหน้าด้วยต้นทุนต่ำกว่าและมี Margin of Safety มากกว่า  นักลงทุนจึงควรตัดสินใจลงทุนตามพื้นฐานของกิจการ ณ ราคาที่เหมาะสมโดยไม่นำปัจจัยผู้บริหารหรือนักลงทุนรายใหญ่มาเป็นองค์ประกอบหลักเพื่อตัดสินใจลงทุน
	หลุมพราง VI ที่เหลือมีอะไรอีกบ้าง ในบทความครั้งหน้า เราจะได้สรุปกันต่อ โปรดติดตามนะครับ
[/size]



ตอบกลับโพส