โค้ด: เลือกทั้งหมด
การส่งออกไทยมีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนไปตั้งแต่ยุคที่เริ่มมีการค้าต่างประเทศกับชาวยุโรปในช่วงยุคสมัยกรุงศรีอยุธยาฯ ยาวนานมาถึงยุคสมัยรัตนโกสินทร์ และเริ่มมีบทบาทมากขึ้นเมื่อประเทศไทยเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 1 ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2504
อย่างไรก็ดี การส่งออกในยุคแรก ๆ ยังไม่มีความสำคัญในระบบเศรษฐกิจมากนัก ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่มีอัตราการนำเข้ามากกว่าส่งออกมาโดยตลอด เนื่องจากอยู่ในช่วงที่ยังผลิตสินค้าหลายอย่างใช้เองไม่ได้ การส่งออกยุคแรก ๆ จึงเป็นสินค้าเกษตรเป็นหลัก เช่นข้าว แป้งมันสำปะหลัง แต่ธุรกิจส่งออกก็เริ่มเป็นตัวเอกของประเทศไทย ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 4-5 (ช่วงปีพ.ศ. 2524) เมื่อการส่งออกภาคอุตสาหกรรมมีสัดส่วนมากขึ้น เป็น 40% และภาครัฐและเอกชนเริ่มมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ มีการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และสินค้าที่มีสัดส่วนมากที่สุดในยุคนั้นเป็น “สิ่งทอ” ราว 20% รวมไปถึงอุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับซึ่งได้รับอานิสงค์จากค่าแรงราคาถูกแต่มีคุณภาพสูงและมีจำนวนมากมายจากการย้ายแรงงานจากภาคการเกษตร
หลังจากนั้นโครงสร้างการส่งออกก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป เริ่มมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในไทย และสร้างอุตสาหกรรมใหม่ ๆ เช่น อุตสาหกรรมอิเล็คโทรนิกที่ใช้เทคโนโลยีไม่มากนัก เช่นแผงวงจร หรือสินค้าสำเร็จรูปประเภทเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างง่าย ๆ ซึ่งสองส่วนนี้เป็นพระเอกขี่ม้าขาวของไทยในยุควิกฤตต้มยำกุ้ง มีการส่งออกรวมในสองอุตสาหกรรมนี้มากถึงหนึ่งในสี่ของมูลค่าทั้งหมด ในขณะเดียวกันบทบาทของธุรกิจสิ่งทอก็เริ่มจะลดลงต่ำกว่า 10% และเป็นธุรกิจตะวันตกดินตั้งแต่นั้นมา หลาย ๆ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ก็เริ่ม Delist หรือมีสัดส่วนเล็กลงเรื่อย ๆ
ในเวลานั้น ก็เริ่มมีอุตสาหกรรมใหม่ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว คืออุตสาหกรรมยานยนต์ มีการเริ่มสร้าง Cluster ที่แข็งแรง แม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะผลิตเป็น “Finished goods” แต่บริษัทสัญชาติไทยก็มักจะได้ผลิตเฉพาะชิ้นส่วนที่ไม่ซับซ้อนนัก ส่วนชิ้นส่วนที่มีเทคโนโลยีสูง ๆ เช่นเครื่องยนต์ หรือระบบส่งกำลัง ก็จะเป็นการนำเข้า มาประกอบในประเทศ สาเหตุที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยเติบโตได้ดี เพราะประเทศไทยค่อนข้าง “เปิดรับ” การลงทุนจากต่างประเทศ รวมไปถึงคุณภาพแรงงานไทยที่ดีทั้งแรงงานฝีมือ และวิศวกรซึ่งมีความจำเป็นกับงานการประกอบรถยนต์ จนไทยติดอันดับหนึ่งในสิบของผู้ผลิตยานยนต์ของโลก (และเป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งในรถยนต์ประเภทกระบะ 1 ตัน หรือรถปิกอัพ) ส่วนรถยนต์นั่งไทย ก็สามารถเป็นฐานผลิตรถที่เป็นโมเดลคุณภาพสูง ๆ หลายรุ่น
นั่นเป็นภาพการเติบโตของธุรกิจส่งออกไทยที่มีสัดส่วนถึง 70% ของ GDP และมีความหลากหลายสูง ทำให้การส่งออกเติบโตอย่างแข็งแรงเพราะการส่งออกสินค้าต่าง ๆ สามารถชดเชยซึ่งกันและกันตลอดเวลา อีกทั้งการส่งออกผ่านชายแดนที่ไทยอยู่ในตำแหน่ง “ยุทธศาสตร์” สำคัญของ AEC ทำให้ไทยยิ่งได้เปรียบ โดยเฉพาะเมื่อมีการลดภาษีในกลุ่มอาเซียน จนถึงยุคกำลังจะเปิด AEC
นั่นคือความสวยงามและความทุ่มเทของภาคเอกชนและภาครัฐไทยมาตลอดหลายสิบปี อย่างไรก็ดีการส่งออกไทยเริ่มมีปัญหาในเรื่องการเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะอุตสาหกรรมส่งออกไทยหลัก ๆ เช่นการส่งออกฮาร์ดไดร์ฟ ปริ๊นเตอร์ กล้องดิจิตอล มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ธุรกิจเกษตรก็เข้าสู่ช่วงราคาตกต่ำ อุตสาหกรรมยานยนต์ ก็มีความท้าทายจากการเติบโตของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีศักยภาพของตลาดในประเทศที่สูงกว่าไทย รวมไปถึงประเทศไทยยังหา “ดาว” ดวงใหม่ไม่ได้มาเป็นสิบปี ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการวิจัยและพัฒนาของไทยอยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอด แม้ว่าจะมีกรอบความคิดในการพัฒนาที่ดี เช่น “Detroit of Asia” หรือ ครัวของโลก หรือเมืองแฟชั่น ฯลฯ แต่ก็ไม่ได้ทำเป็นรูปธรรมมากนัก ทำให้ไทยเริ่มติดปัญหา “ส่งไม่ออก”
ยิ่งไปกว่านั้น ผมไม่ค่อยเห็นคนรุ่นใหม่อยากทำธุรกิจ “โรงงาน” หรือภาคการผลิต อุตสาหกรรมการผลิตเป็นสิ่งที่วุ่นวายเพราะต้องจัดการ “แรงงาน” ที่ยุ่งยากขึ้นทุกวัน ครั้นจะใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ประเทศไทยก็ยังไม่สามารถผลิตเองได้ ตราสินค้าจากไทยแม้ว่าจะมีมุมมองว่าเป็นสินค้าคุณภาพสูง แต่ก็ไม่มี Brand ที่มีราคาเหมือนต่างประเทศ ดังนั้นจนกว่าไทยจะลดข้อจำกัดเหล่านี้ และเพิ่มความแข็งแรงของตัวเอง การส่งออกยังคงต้องพึ่งพิง “สภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า” ต่อไป และ Market share ของการส่งออกไทยในตลาดโลกจะค่อย ๆ ลดลง พร้อม ๆ กับการขึ้นมาของประเทศอื่น ๆ ที่ใช้เส้นทางเดินเดียวกับไทยในอดีต คือเน้นแข่งขันต้นทุนแรงงาน
อันที่จริงการส่งออกไม่ได้มีนิยามเฉพาะการส่งออก “สินค้า” แต่ควรนับรวมไปถึง “บริการ” ด้วย (แต่ไม่ได้นับรวมในนิยามตัวเลขส่งออกของไทย) ประเทศไทยมีศักยภาพสูงมากในแง่การบริการ เพราะนิสัยที่สุภาพน่ารักและความใส่ใจในรายละเอียดของคนไทย ทำให้โครงสร้าง GDP ไทยปัจจุบันมีภาคบริการมากกว่าครึ่ง ภาคบริการ เช่นการท่องเที่ยว เติบโตอย่างรวดเร็ว (จำนวนนักท่องเที่ยวติดอันดับสิบของโลก) หรือบริการทางการแพทย์ของไทยที่ติดอันดับโลกเช่นเดียวกัน ส่วนการค้าปลีกไทยก็เป็นอุตสาหกรรมที่แข่งขันได้กับต่างประเทศ แต่ทั้งหมดก็ยังขาดทิศทางที่ชัดเจน เป็นลักษณะเอกชนต่างคนต่างทำเป็นส่วนใหญ่ ขาดกฎระเบียบเช่นกฎหมายทรัพยสินทางปัญญาต่าง ๆ การเข้าถึงเงินทุน ขาดวิธีการเพิ่มมูลค่า แต่นี่คือส่วนหนึ่งที่มีศักยภาพที่จะเป็นดาวดวงใหม่ และช่วยแก้ปัญหา “ส่งไม่ออก” ของประเทศไทยครับ