วางแผนสืบทอดกิจการ/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

วางแผนสืบทอดกิจการ/วิวรรณ ธาราหิรัญโชติ

โพสต์ โดย Thai VI Article » จันทร์ ธ.ค. 29, 2014 2:33 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

หลังจากเขียนถึงกิจการของสองครอบครัวไปแล้ว ดิฉันก็สนใจศึกษาเรื่องการสืบทอดกิจการมากขึ้น และพบงานวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ เป็นของ บริษัทที่ปรึกษาพีดับบลิวซี (PwC) ซึ่งเผยแพร่ในเดือนเมษายน ที่ผ่านมา

PwC ทำการสำรวจโดยการสัมภาษณ์คนรุ่นที่รับสืบทอดกิจการของครอบครัว 207 กิจการที่มีรายได้เกินกว่า 5 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกินกว่า 165 ล้านบาท ใน 21 ประเทศทั่วโลก เมื่อปี 2012-2014  และได้สรุปไว้ในเอกสารชื่อ Next Generation Survey 2014   ว่า ในการสืบทอดกิจการนั้น มีเรื่องใหญ่ๆอยู่ 3 เรื่องที่กิจการครอบครัวมีความกังวลใจ คือ การขยายกิจการ หรือ Scale ทักษะในการบริหารกิจการ หรือ Skills  และการสืบทอดกิจการ หรือ Succession

จากสถิติพบว่า โอกาสที่กิจการจะตกทอดไปถึงรุ่นที่สาม มีเพียง 12% เท่านั้น ดังนั้น ครอบครัวต่างๆที่มีกิจการต้องส่งต่อให้รุ่นต่อๆไปจึงมีความกังวลใจ แต่จากการสำรวจก็พบว่า มีครอบครัวถึง 41%  ที่ตั้งใจจะส่งต่อกิจการให้กับทายาทในครอบครัวรุ่นถัดไป แต่ก็มีครอบครัวถึง 25% ที่จะส่งต่อเฉพาะความเป็นเจ้าของ แต่ไม่ส่งทอดการบริหารงาน และเกินกว่าครึ่งหนึ่งของครอบครัวที่ไปสัมภาษณ์ ไม่แน่ใจว่าลูกๆจะมีทักษะและความกระตือรือร้นที่จะรับช่วงกิจการต่อหรือไม่

เมื่อมองจากมุมของผู้รับสืบทอดกิจการ ความกดดันมีมากมายไม่แพ้กัน แม้ว่าคนรุ่นใหม่จะมีการศึกษากว้างไกลกว่ารุ่นก่อน มีประสบการณ์มากกว่า และไม่ค่อยผูกพันกับธุรกิจมากเท่ารุ่นพ่อแม่ แต่พวกเขาก็มีแรงกดดันให้ต้องรับสืบทอด และพบว่า ยิ่งตั้งกิจการมานานเท่าใด คนรุ่นใหม่ก็ยิ่งรู้สึกมีแรงกดดันให้ต้องดำเนินกิจการต่อไป และ 88%ของผู้รับสืบทอดบอกว่าต้องทำงานหนักกว่าคนอื่นๆในบริษัท เพืื่อพิสูจน์ตัวเอง (คล้ายกับคุณชาร์ลีน ของไฮนิเก้น ที่เขียนถึงเมื่อสองสัปดาห์ก่อน) 

อย่างไรก็ดี 86% ของรุ่นลูกผู้ให้สัมภาษณ์บอกว่า หากรับสืบทอดกิจการมา ก็อยากจะเปลี่ยนให้รับและนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้ เพราะรุ่นปัจจุบันไม่ค่อยยอมรับฟัง ไม่ค่อยยอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ และที่สำคัญคือ มักไม่ยอมปล่อยให้รุ่นใหม่แสดงฝีมือ

ฟังแล้วคุ้นๆไหมคะ ดิฉันเชื่อว่าความรู้สึกนี้ และการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ของเจ้าของกิจการยุคเบบี้บูม เป็นเรื่องปกติ เพราะรุ่นปู่ย่าซึ่งเติบโตในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้น ต้องทำงานหนัก เครื่องมือทุ่นแรงก็ไม่มีมากมายเหมือนในปัจจุบัน และรุ่นเบบี้บูมซึ่งเป็นรุ่นที่กำลังจะส่งต่อกิจการในปัจจุบัน ก็เป็นรุ่นที่ต้องทำงานหนัก ส่วนใหญ่เข้าไปทำกิจการทันทีหลังจากเรียนจบโรงเรียนมัธยม ไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย

ในขณะที่รุ่นปัจจุบัน มีเพียง 7% ของผู้ถูกสัมภาษณ์เท่านั้นที่เข้าไปทำงานในกิจการของครอบครัวทันทีหลังจากเรียนจบมัธยม เหมือนรุ่นพ่อรุ่นปู่  ส่วนอีก 31%เข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย และ 46%เข้าไปทำงานที่บริษัทอื่นก่อน แล้วจึงหันมาช่วยกิจการของครอบครัวในภายหลัง แต่ในเกือบทุกกรณี ครอบครัวจะต้องสนับสนุนและเห็นชอบ

มีตัวอย่างหนึ่งซึ่งน่าสนใจนำมาเล่าต่อ คือ คุณมอริทซ์ ริทเตอร์ (Moritz Ritter) ลูกชายของเจ้าของบริษัทช็อคโกแลต Ritter Sport ของเยอรมนี ท่านอาจจะเคยรับประทาน ช่วงปีใหม่ เขาจะทำกล่องสวยๆใส่ช็อคโกแลตชิ้นเล็กๆหลากรส หลากสี

คุณมอริทซ์ มีคุณพ่อที่ใจดีและไม่ได้บังคับให้ลูกมีแรงกดดันในการสืบทอดกิจการ คุณมอริทซ์ จึงได้เรียนวิทยาศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์ และได้ไปทำงานวิจัยเรื่องหุ่นยนต์ ก่อนกลับมาช่วยกิจการของครอบครัว  และเมื่อกลับมาคุณมอริทซ์ก็ไม่ได้มาทำกิจการช็อคโกแลต แต่ไปบุกเบิกทำเรื่องเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน โดยมีคุณพ่อคอยช่วยเป็นพี่เลี้ยงและสนุบสนุนอยู่ในช่วงแรกๆ

จากการวิจัยยังพบว่าหลายครอบครัวจ้างผู้บริหารจากภายนอกเพื่อมาเติมเต็มทักษะที่ขาดไป หรือมาแทนรุ่นทายาทที่ไม่ต้องการสืบทอดกิจการ แต่ยังถือหุ้นอยู่ และ 55%ของครอบครัวที่สัมภาษณ์ มีโปรแกรมในการพัฒนาทายาทเพื่อสืบต่อธุรกิจ

จากการวิจัยพบว่า การสื่อสารเป็นช่องว่างใหญ่ที่ต้องปิด  เพราะผู้บริหารรุ่นพ่อแม่ อาจจะไม่สื่อสารกับรุ่นลูกโดยตรง ในเรื่องนี้ PWC เห็นว่า ต้องมีการสื่อสารเพื่อปิดช่องว่าง และเสนอแนะคำถามสำหรับทดสอบว่ามีช่องว่างหรือไม่ฝ่ายละ 4 ข้อ หากตอบว่า “ไม่ใช่”ฝ่ายละเกินสองข้อ หมายความว่าท่านมีช่องว่างในการสื่อสารที่จำเป็นต้องทำการปิด เพื่อป้องกันไม่ให้การสืบทอดกิจการของท่านมีปัญหา

คำถามสี่ข้อของผู้บริหารรุ่นปัจจุบันคือ 

1.  ท่านวางแผนที่จะสืบทอดกิจการให้กับทายาทรุ่นต่อไปหรือไม่ หากไม่ใช่ ทายาทรุ่นต่อไปทราบหรือไม่ว่าท่านวางแผนไว้อย่างไร 

2.  ท่านเชื่อไหมว่าลูกๆของท่านพร้อมและสามารถสืบทอดกิจการจากท่านได้ และหากไม่ได้ ท่านได้คุยกับเขาหรือไม่ว่า เขาควรต้องทำอย่างไร

3.  ท่านเคยคุยอย่างเปิดอกกับลูกๆไหมว่า ท่านจะวางมือเมื่อใด และลูกคนไหนจะดูแลกิจการต่อจากท่าน

4.  ท่านได้ให้การสนับสนุนลูกๆของท่านโดยการให้อำนาจดำเนินการทั้งต่อสาธารณะและเป็นการส่วนตัวหรือไม่

ส่วนคำถามสี่ข้อของผู้บริหารรุ่นต่อไปคือ
1.คุณสามารถบอกได้หรือไม่ว่า ทักษะและประสบการณ์ที่คุณต้องมีคืออะไร
2.คุณมีแผนที่จะพัฒนาตนเองเพื่อปิดช่องว่างในการรับสืบทอดกิจการหรือไม่
3.คุณได้คุยกับรุ่นพ่อแม่หรือไม่ว่า ใครจะรับสืบทอดกิจการ และจะรับเมื่อใด
4.คุณได้แบ่งปันแผนงานในอนาคตของกิจการ ให้พ่อแม่ทราบหรือไม่

หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่จะสืบทอดกิจการ ไม่ว่าจะเป็นกิจการส่วนตัวหรือประยุกต์ไปใช้กับกิจการที่ผู้บริหารเป็นมืออาชีพที่จะต้องมีการสืบทอดต่อก็ได้ค่ะ

ขอให้ผู้อ่านทุกท่านฉลองส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่อย่างมีความสุข สนุกสนาน โชคดี และปลอดภัย

พบกันใหม่ปีหน้าค่ะ
[/size]



ตอบกลับโพส