ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 5/วิบูลย์ พึงประเสริฐ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม
ตอบกลับโพส
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
กระทู้: 1243
ลงทะเบียนเมื่อ: พุธ ก.ค. 11, 2012 10:42 pm

ลงทุนเปลี่ยนชีวิต 5/วิบูลย์ พึงประเสริฐ

โพสต์ โดย Thai VI Article » อังคาร พ.ค. 05, 2015 4:17 pm

โค้ด: เลือกทั้งหมด

บทความฉบับที่แล้วกล่าวถึงคนสวนแรงงานต่างด้าวเงินเดือนหมื่นต้นๆที่ทำงานเก็บเงินมา 6-7 ปีจนสามารถมีเงินเก็บถึง 1 ล้านบาท หลังจากที่มีผู้อ่านบทความนั้นและแสดงความคิดเห็นเข้ามาปรากฏว่ามีเป็นจำนวนมากที่บอกว่าก็เพราะคนสวนคนนั้นมีที่อยู่ฟรี มีอาหารทานฟรีสามมื้อนะซิถึงเก็บเงินได้ขนาดนั้น แต่คนทำงานออฟฟิศต้องจ่ายค่าบ้าน ค่าเดินทาง ค่าเสื้อผ้า ค่าอาหารและค่าอื่นๆอีกจิปาถะจะไปมีเงินเก็บอย่างนั้นได้อย่างไร แค่เงินเดือนก็ไม่พอใช้แล้ว

จริงๆแล้วการที่เราเก็บเงินได้ไม่ได้นั้นสาเหตุหลักมาจากความคิดของเราเองมากกว่า คนทำงานกินเงินเดือนส่วนใหญ่มีรายได้มากกว่าคนสวนต่างด้าวท่านนั้นมากหลายเท่า แต่สุดท้ายก็เก็บเงินไม่ได้สักที หลายคนมีเงินเก็บน้อยกว่าคนสวนต่างด้าวเสียอีก ถ้าเราคิดว่าเก็บเงินไม่ได้ สุดท้ายเราก็จะเก็บเงินไม่ได้จริงๆ แต่ถ้าเราตั้งใจเก็บเงินแล้ว เราจะเก็บเงินได้อย่างแน่นอน

หลักการแรกของขั้นตอนการเก็บเงินคือต้อง”จ่ายเงินให้ตนเองก่อน” คนส่วนใหญ่เวลาเงินเดือนออกมักจะใช้ไปเรื่อยๆเหลือเท่าไหร่ค่อยเก็บ ซึ่งในความเป็นจริงพบว่าใช้หมดทุกทีจนไม่เหลือเงินเก็บเมื่อถึงสิ้นเดือน แต่ถ้าเราเปลี่ยนวิธีการโดยหักเงินเดือนก้อนหนึ่งเข้าบัญชีทุกเดือนก่อนที่จะนำไปใช้จ่ายโดยเงินที่เก็บนี้จะไม่นำไปใช้ เงินที่เหลือจากที่หักแล้วเท่าไหร่ถึงจะใช้ได้ ด้วยวิธีนี้ทำให้มีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนเพราะตามหลักจิตวิทยาแล้ว ถ้าเราไม่รู้ว่ามีเงินเราจะไม่ใช้เงินก้อนนั้น ตัวอย่างเช่น สมมติเรารู้ว่าเดือนหน้าเราจะได้โบนัส เราจะเริ่มหาทางใช้เงินโบนัสนั้นตั้งแต่ยังไม่ได้รับมัน หลายคนใช้เงินโบนัสหมดตั้งแต่รับรู้ว่าจะได้เงินก้อนนั้น ดังนั้นถ้าเราหักเงินในแต่ละเดือนเก็บไว้แยกต่างหากและไม่คิดนำมาใช้ เราก็จะสามารถใช้เงินที่เหลือจากที่เก็บนั้นได้อย่างเพียงพอ

ข้อสองคือการตัดลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น หลายคนใช้เงินไปในแต่ละเดือนโดยที่ไม่รู้ว่าเอาไปใช้ทำอะไรบ้าง พอถึงสิ้นเดือนเงินก็หมดต้องไปกู้หนี้ยืมสินหรือไม่ก็ใช้บัตรเครดิตซื้อของโน้นนี่ ถ้าเราเริ่มบันทึกค่าใช้จ่ายในแต่ละวันว่าใช้อะไรไปบ้าง จากนั้นนำมารวบรวมเพื่อมาเป็นหลักฐานว่าเราใช้เงินไปเกี่ยวกับเรื่องอะไร เช่น ค่าเดินทาง ค่าบ้าน ค่าอาหารและอื่นๆ หลังจากนั้นให้พิจารณาว่าค่าใช้จ่ายในแต่ละวันของเรานั้นเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อความจำเป็นหรือไม่ เช่น ค่ากาแฟ ค่าเสื้อผ้าชุดใหม่ ค่ารองเท้า ค่ากระเป๋า มือถือเครื่องใหม่ หลายๆอย่างเราอาจพบว่าสิ่งของที่เราซื้อมานั้นอาจจะไม่ได้ใช้หรือใช้เพียงไม่กี่ครั้งทั้งๆที่ของเก่ายังใช้ได้ นอกเหนือจากนั้นรายจ่ายบางอย่างอาจจะไม่มีความจำเป็นเลยซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนนั้นลงไปได้อีกมาก สิ่งสำคัญคือแยกให้ออกระหว่างของที่จำเป็นและของที่ไม่สำคัญ

หลักการที่สามคือการตั้งเป้าหมายการออม หลายคนไม่สามารถเก็บเงินได้เพราะไม่มีเป้าหมาย เพียงแค่คิดว่าอยากเก็บเงินแต่ไม่รู้ว่าจะเก็บให้ได้เท่าไหร่นั้นอาจจะไม่เพียงพอ เราอาจจะต้องตั้งเป้าหมายการออมว่าจะเก็บออมเงินให้ได้เท่าไหร่ในเวลาที่ระบุไว้ เช่นเก็บเงินให้ได้หนึ่งล้านบาทในเวลาสามปี จากนั้นจึงเริ่มทำตามขั้นตอนทั้งสองข้อที่กล่าวมาข้างต้น พนักงานออฟฟิศจำนวนมากมีรายได้มากแต่ไม่มีเป้าหมายการออมทำให้เก็บเงินไม่ได้ เป้าหมายนั้นควรจะบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและนำมาตรวจสอบกับจำนวนเงินที่เราทำได้ในแต่ละช่วงเวลาเพื่อพิจารณาว่าวิธีการที่เราใช้อยู่นั้นมีประสิทธิผลมากน้อยแค่ไหน เช่น อาจจะจ่ายให้ตนเองน้อยเกินไปหรือตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปได้อีกเป็นต้น

ถ้าดำเนินการทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วยังพบว่าในแต่ละเดือนยังไม่สามารถเก็บเงินได้อีก ถึงแม้จะตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปเกือบหมดแล้ว อาจเป็นไปได้ว่ารายได้ของเราอาจจะน้อยเกินกว่าคุณภาพชีวิตที่เราต้องการ ถ้าเป็นเช่นนั้นการหางานใหม่ที่มีรายได้มากกว่าเดิมอาจเป็นทางออกที่เป็นไปได้ จะเห็นว่าการเก็บเงินไม่ได้นั้นสำคัญที่สุดคือความคิดของเราเองเพราะสุดท้ายแล้วการบอกว่าเก็บเงินไม่ได้ก็เป็นเพียงข้ออ้างของตัวเราเท่านั้นเอง
[/size]



ตอบกลับโพส